>
Digital Harmony: ความกลมกลืนทางดิจิทัลในการใช้ชีวิตยุคใหม่
Article
June 29, 2025

Digital Harmony: ความกลมกลืนทางดิจิทัลในการใช้ชีวิตยุคใหม่

ในโลกยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีกลายเป็นส่วนหนึ่งของทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน คำว่า "สมดุลชีวิต" หรือ Work-Life Balance ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดเชิงอุดมคติอีกต่อไป แต่กลับเป็นโจทย์สำคัญที่ทั้งคนทำงานและองค์กรต้องร่วมกันค้นหาคำตอบว่า เราจะใช้เทคโนโลยีอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่ละเลยคุณภาพชีวิตของตนเอง

นนท์ (มิกกี้) อัลภาชน์ ณ ป้อมเพชร ผู้มีพื้นฐานจากสายสุขภาพและกีฬา ได้แบ่งปันประสบการณ์จากเส้นทางชีวิตที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เขาย้ำว่า Work-Life Balance ไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ แต่ต้องอาศัยความตั้งใจในการสร้าง และการใช้ “เครื่องมือ” ที่เหมาะสม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเทคโนโลยี

Work-Life Balance: ความสมดุลที่เราสร้างได้

คุณมิกกี้อธิบายว่า Work-Life Balance ไม่ใช่สิ่งที่ใคร ๆ จะมีได้โดยอัตโนมัติ แต่คือ “ความสมดุลที่เราต้องสร้างขึ้นเอง” ระหว่างเวลาส่วนตัว ความชอบส่วนตัว และภาระหน้าที่ในการทำงาน

หากใครสามารถสร้างสมดุลนี้ได้ ก็ถือว่าโชคดี เพราะจะมีโอกาสดูแลทั้งร่างกายและจิตใจได้อย่างเต็มที่ แต่หากยังไม่สามารถสร้างมันขึ้นมาได้ในตอนนี้ ก็ไม่ได้แปลว่าโชคร้าย เพียงแค่เราต้องมองหา “วิธีหรือเครื่องมือ” ที่จะช่วยให้เข้าใกล้จุดสมดุลมากขึ้นเรื่อย ๆ

การมี Work-Life Balance ส่งผลดีอย่างชัดเจนต่อชีวิต เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้เรารู้สึกกระฉับกระเฉง มีพลัง และมีความสุขมากขึ้น แม้แต่การเริ่มต้นดูแลตัวเอง เช่น การออกกำลังกาย หากยังไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ก็สามารถใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ เช่น แอปพลิเคชันสุขภาพ หรือแม้แต่ ChatGPT เพื่อช่วยออกแบบโปรแกรมที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

เพราะการมีชีวิตที่สมดุลไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มาจากความตั้งใจเลือกดูแลตัวเองในทุกมิติ


Work-Life Balance: เมื่อเทคโนโลยีช่วยให้เราดูแลชีวิตได้ดีขึ้น

คุณมิกกี้กล่าวว่า พนักงานในองค์กรสามารถสร้าง Work-Life Balance ได้มากขึ้น หากรู้จักใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม เพราะเทคโนโลยีไม่เพียงช่วยบริหารเวลา แต่ยังสามารถช่วยดูแลสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าประกัน หรือแม้แต่การลดความถี่ในการไปพบแพทย์

สุขภาพที่ดีคือการป้องกันที่ดีที่สุด และเมื่อพนักงานมีสมดุลในชีวิต ย่อมมีพลังบวกต่อทั้งตนเองและองค์กร พนักงานที่มี Work-Life Balance มักมีความสุขกับงานมากขึ้น รู้สึกผูกพันกับองค์กร และมีแนวโน้มที่จะอยู่กับบริษัทได้นานขึ้น ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออกและต้นทุนด้านทรัพยากรบุคคลในระยะยาว

เขายังชวนให้ผู้ฟังสะท้อนกับตัวเอง ผ่านคำถามที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง:

คุณพึงพอใจกับชั่วโมงการทำงานของตัวเองแค่ไหน?

คุณต้องนำงานกลับไปทำที่บ้านบ่อยแค่ไหน?

คุณเช็คอีเมลนอกเวลางานหรือไม่?

งานของคุณเปิดโอกาสให้ใช้เวลาคุณภาพกับครอบครัวและเพื่อนบ้างหรือเปล่า?

งานของคุณเป็นอุปสรรคต่อการดูแลสุขภาพหรือไม่?

คำถามเหล่านี้ไม่เพียงกระตุ้นให้แต่ละคนทบทวนตนเอง แต่ยังสะท้อนภาพใหญ่ของวัฒนธรรมการทำงานในองค์กร ว่ากำลังเอื้อต่อชีวิตที่สมดุล หรือผลักให้คนทำงานห่างไกลจากสิ่งที่สำคัญจริง ๆ

Work-Life Balance จึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเท่านั้น แต่คือกลยุทธ์ร่วมระหว่างคนทำงานและองค์กร เพื่อสร้างชีวิตที่ยั่งยืนไปพร้อมกัน

ไม่มีเวลา...หรือยังไม่เริ่มจริงจัง? ทางเลือกในการเริ่มต้นออกกำลังกาย

หลายคนอยากเริ่มต้นดูแลสุขภาพ แต่อุปสรรคที่พบบ่อยคือ “ไม่มีเวลา” โดยเฉพาะเมื่อทำงานตั้งแต่เช้าจนค่ำ ตื่นเช้าไม่ไหว หรือรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะขยับตัว คุณมิกกี้จึงแนะนำ 3 ช่วงเวลาที่สามารถใช้เริ่มต้นออกกำลังกายได้ตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน

1. หลังเลิกงาน

เป็นช่วงเวลายอดนิยม เพราะรู้สึกว่าทำภารกิจประจำวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ก็มีอุปสรรคไม่น้อย เช่น ประชุมยาว รถติด หรือความเหนื่อยล้าสะสมที่อาจทำให้ยากต่อการเริ่ม

2. ตอนเช้า

เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะสามารถควบคุมเวลาได้มากกว่า ร่างกายสดชื่นและยังช่วยเติมพลังให้กับวันใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ระหว่างวัน

หากองค์กรสนับสนุน เช่น มีอุปกรณ์หรือพื้นที่ให้ออกกำลังกายช่วงพัก หรือมีนโยบายส่งเสริมการเคลื่อนไหว ก็สามารถใช้ช่วงเวลาสั้น ๆ ในการดูแลสุขภาพได้แบบไม่กระทบตารางงาน

คุณมิกกี้ยังเน้นว่า เทคโนโลยีคือเพื่อนร่วมทางที่ดี สำหรับการเริ่มต้น

ไม่ว่าจะเป็นแอปนับก้าวเดิน แอปออกกำลังกายที่มีโค้ชเสียงแนะนำระหว่างวิ่ง หรืออุปกรณ์สวมใส่ที่ช่วยตั้งเป้าหมายรายวัน ทั้งหมดนี้ช่วยลดข้ออ้างว่า “ไม่รู้จะเริ่มยังไง” และเปลี่ยนการเริ่มต้นให้กลายเป็นเรื่องเล็กที่ทำได้จริง

เพราะการดูแลสุขภาพ ไม่ได้เริ่มจากเวลาว่าง แต่เริ่มจาก “ความตั้งใจ” ที่คุณสร้างขึ้นได้ในแต่ละวัน

เมื่อสุขภาพคือทุนชีวิต และ Work-Life Balance คือตัวชี้วัดวัฒนธรรมองค์กร

คุณมิกกี้ชวนให้เราย้อนกลับมามองสิ่งพื้นฐานที่สุดในชีวิตประจำวัน—การนอนหลับ เรานอนเพียงพอหรือไม่ โดยเฉพาะในวันทำงานจันทร์ถึงศุกร์ ซึ่งควรให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างน้อย 6–8 ชั่วโมง เพื่อให้ทั้งกายและใจฟื้นฟูพร้อมรับวันใหม่

คำถามสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้ให้คิด คือ

“ที่ทำงานของคุณ เคารพต่อ Work-Life Balance ของคุณหรือไม่?”

คำถามนี้เรียบง่ายแต่สะเทือนใจ เพราะมันสะท้อนวัฒนธรรมองค์กร และความใส่ใจที่มีต่อสุขภาพของพนักงานได้อย่างชัดเจน

เทคโนโลยีในวันนี้สามารถเป็นได้ทั้ง “เครื่องมือช่วยดูแลชีวิต” และ “อุปสรรคที่บั่นทอนสมดุล”

หากใช้เชิงบวก เช่น การประชุมผ่าน Zoom แทนการเดินทาง ก็ช่วยประหยัดเวลา นำไปสู่การดูแลตัวเองมากขึ้น  แต่หากใช้โดยขาดขอบเขต เช่น การเช็กอีเมลนอกเวลา การออนไลน์ตลอดเวลา ก็อาจทำให้เราไม่มีเวลาส่วนตัวเหลือเลย

คุณมิกกี้ยังแนะนำวิธีการฟื้นฟูร่างกาย 2 รูปแบบ:

แบบ Active เช่น การนวด การยืดกล้ามเนื้อ หรือการแช่น้ำเย็น

แบบ Passive คือ การนอนหลับอย่างเพียงพอ ซึ่งเป็นวิธีฟื้นฟูที่ทรงพลังและจำเป็นที่สุด

ท้ายที่สุด การดูแลสุขภาพไม่ใช่ทางเลือก แต่คือ “เงื่อนไขพื้นฐานของการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่”

เพราะเมื่อสุขภาพดี เราก็สามารถทำงาน สร้างสรรค์ และใช้เวลากับคนที่เรารักได้อย่างมีคุณภาพ และเทคโนโลยีที่เรามีอยู่ทุกวันนี้ สามารถช่วยให้ไปถึงจุดนั้นได้ หากเราเลือกใช้มันอย่างมีสติและสมดุล

Tag:
Article
Share this post:
พรรณวัฒน์ เจริญศิริ

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
Article
7 เหตุผลที่คุณต้องมาฟัง Dave Ulrich ในงาน HR DAY – PMAT 60th Anniversary International HR Conference
หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2010 ก่อนหน้าที่ทาง PMAT จะได้มีโอกาสเชิญบุคลากรผู้ทรงคุณค่าในวงการ HR อย่างศาสตราจารย์ Dave Ulrich มาปรากฏตัวที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกนั้น หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า HR Competency กันมาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำว่า Employee Champion (ผมแปลเองเป็นภาษาง่าย ๆ ว่า ผู้ชนะใจพนักงาน) เมื่อสิบห้าปีที่แล้ว โลกของเรายังไม่ก้าวหน้ารวดเร็วเท่ากับยุคปัจจุบัน การเข้าถึงแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ใน internet ก็ทำได้อย่างจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันในระดับที่ “ทันกับเวลา” จึงทำให้ HR หลาย ๆ ท่านเจอกำแพงอุปสรรคของการพัฒนาตนเอง เพราะเนื่องจากยังไม่เข้าใจบริบทในภาพกว้างของโลก / ธุรกิจ จึงยึดติดกับการพัฒนางานของตนเองในระดับปฏิบัติการมากกว่า อาทิเช่น ทักษะการใช้เครื่องมือนำเสนอ หรือทักษะการใช้การจัดเก็บความรู้ แต่เรายังไม่เข้าใจถึงแก่นว่าเพราะอะไรทำไมเราถึงต้องลุกขึ้นมาปัดฝุ่นการทำงานของเรา (HR Role and Competency) ให้ขึ้นมามีบทบาททางธุรกิจมากขึ้น และคนที่สะกิดบอกทั้งโลกว่า “เฮ้! งาน HR มันคืองานในระดับธุรกิจนะ” ก็คือ อาจารย์ Dave นี่เอง
October 7, 2025
Article
“ทำไม HR ต้องมีความกล้า” คำถามที่ท้าทายจาก Dave Ulrich
ชื่อของ Dave Ulrich ได้เป็นที่ยอมรับจากนักบริหารและผู้นำจากทั่วโลกว่า เป็นหนึ่งใน Guru ด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาภาวะผู้นำที่ทรงอิทธิพลทางความคิดในระดับที่ปรับโฉมการบริหารทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมาเป็นระยะ เพราะสิ่งที่ Dave Ulrich นำเสนอผ่านการเขียน การเดินทางไปบรรยายทั่วโลกด้วยมุมมอง แนวคิดที่ตกผลึกมาจากงานวิจัยอย่างลงลึกต่อเนื่อง ทำให้กรอบแนวคิดแต่ละช่วงเวลาของท่านได้สร้างแรงกระเพื่อมในวงการบริหารไปทั่วโลก
October 5, 2025
Article
เหตุผลที่คุณควรมาฟัง Erin Meyer อีกครั้งในงาน PMAT 2025
ท่านผู้อ่านเคยสงสัยหรือไม่ครับว่าองค์กรระดับโลกอย่าง Netflix สร้างวัฒนธรรมที่กระตุ้นนวัตกรรมได้อย่างไร? หรือเคยเผชิญความท้าทายในการทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานต่างวัฒนธรรมที่การสื่อสารเกิดความเข้าใจผิด? นี่คือโอกาสที่พวกเรากำลังจะได้รับมุมมองและแนวทางแก้ไขจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านวัฒนธรรมองค์กร Erin Meyer ซึ่งกำลังจะกลับมาแบ่งปันความรู้กับผู้ฟังชาวไทยอีกครั้งในงาน PMAT 60th Anniversary HR International Conference 2025 ในระหว่างวันที่ 12–13 พฤศจิกายน 2025 นี้ ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี และเปิดเวทีให้นักวิชาชีพ HR, ผู้เชี่ยวชาญ L&D, ผู้นำองค์กร และผู้สนใจด้านวัฒนธรรมการทำงาน ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสุดยอดนักคิดระดับโลก
October 2, 2025