นนท์ (มิกกี้) อัลภาชน์ ณ ป้อมเพชร ผู้มีพื้นฐานจากสายสุขภาพและกีฬา ได้แบ่งปันประสบการณ์จากเส้นทางชีวิตที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เขาย้ำว่า Work-Life Balance ไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ แต่ต้องอาศัยความตั้งใจในการสร้าง และการใช้ “เครื่องมือ” ที่เหมาะสม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเทคโนโลยี
Work-Life Balance: ความสมดุลที่เราสร้างได้
คุณมิกกี้อธิบายว่า Work-Life Balance ไม่ใช่สิ่งที่ใคร ๆ จะมีได้โดยอัตโนมัติ แต่คือ “ความสมดุลที่เราต้องสร้างขึ้นเอง” ระหว่างเวลาส่วนตัว ความชอบส่วนตัว และภาระหน้าที่ในการทำงาน
หากใครสามารถสร้างสมดุลนี้ได้ ก็ถือว่าโชคดี เพราะจะมีโอกาสดูแลทั้งร่างกายและจิตใจได้อย่างเต็มที่ แต่หากยังไม่สามารถสร้างมันขึ้นมาได้ในตอนนี้ ก็ไม่ได้แปลว่าโชคร้าย เพียงแค่เราต้องมองหา “วิธีหรือเครื่องมือ” ที่จะช่วยให้เข้าใกล้จุดสมดุลมากขึ้นเรื่อย ๆ
การมี Work-Life Balance ส่งผลดีอย่างชัดเจนต่อชีวิต เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้เรารู้สึกกระฉับกระเฉง มีพลัง และมีความสุขมากขึ้น แม้แต่การเริ่มต้นดูแลตัวเอง เช่น การออกกำลังกาย หากยังไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ก็สามารถใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ เช่น แอปพลิเคชันสุขภาพ หรือแม้แต่ ChatGPT เพื่อช่วยออกแบบโปรแกรมที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง
เพราะการมีชีวิตที่สมดุลไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มาจากความตั้งใจเลือกดูแลตัวเองในทุกมิติ
Work-Life Balance: เมื่อเทคโนโลยีช่วยให้เราดูแลชีวิตได้ดีขึ้น
คุณมิกกี้กล่าวว่า พนักงานในองค์กรสามารถสร้าง Work-Life Balance ได้มากขึ้น หากรู้จักใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม เพราะเทคโนโลยีไม่เพียงช่วยบริหารเวลา แต่ยังสามารถช่วยดูแลสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าประกัน หรือแม้แต่การลดความถี่ในการไปพบแพทย์
สุขภาพที่ดีคือการป้องกันที่ดีที่สุด และเมื่อพนักงานมีสมดุลในชีวิต ย่อมมีพลังบวกต่อทั้งตนเองและองค์กร พนักงานที่มี Work-Life Balance มักมีความสุขกับงานมากขึ้น รู้สึกผูกพันกับองค์กร และมีแนวโน้มที่จะอยู่กับบริษัทได้นานขึ้น ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออกและต้นทุนด้านทรัพยากรบุคคลในระยะยาว
เขายังชวนให้ผู้ฟังสะท้อนกับตัวเอง ผ่านคำถามที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง:
คุณพึงพอใจกับชั่วโมงการทำงานของตัวเองแค่ไหน?
คุณต้องนำงานกลับไปทำที่บ้านบ่อยแค่ไหน?
คุณเช็คอีเมลนอกเวลางานหรือไม่?
งานของคุณเปิดโอกาสให้ใช้เวลาคุณภาพกับครอบครัวและเพื่อนบ้างหรือเปล่า?
งานของคุณเป็นอุปสรรคต่อการดูแลสุขภาพหรือไม่?
คำถามเหล่านี้ไม่เพียงกระตุ้นให้แต่ละคนทบทวนตนเอง แต่ยังสะท้อนภาพใหญ่ของวัฒนธรรมการทำงานในองค์กร ว่ากำลังเอื้อต่อชีวิตที่สมดุล หรือผลักให้คนทำงานห่างไกลจากสิ่งที่สำคัญจริง ๆ
Work-Life Balance จึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเท่านั้น แต่คือกลยุทธ์ร่วมระหว่างคนทำงานและองค์กร เพื่อสร้างชีวิตที่ยั่งยืนไปพร้อมกัน
ไม่มีเวลา...หรือยังไม่เริ่มจริงจัง? ทางเลือกในการเริ่มต้นออกกำลังกาย
หลายคนอยากเริ่มต้นดูแลสุขภาพ แต่อุปสรรคที่พบบ่อยคือ “ไม่มีเวลา” โดยเฉพาะเมื่อทำงานตั้งแต่เช้าจนค่ำ ตื่นเช้าไม่ไหว หรือรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะขยับตัว คุณมิกกี้จึงแนะนำ 3 ช่วงเวลาที่สามารถใช้เริ่มต้นออกกำลังกายได้ตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน
1. หลังเลิกงาน
เป็นช่วงเวลายอดนิยม เพราะรู้สึกว่าทำภารกิจประจำวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ก็มีอุปสรรคไม่น้อย เช่น ประชุมยาว รถติด หรือความเหนื่อยล้าสะสมที่อาจทำให้ยากต่อการเริ่ม
2. ตอนเช้า
เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะสามารถควบคุมเวลาได้มากกว่า ร่างกายสดชื่นและยังช่วยเติมพลังให้กับวันใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ระหว่างวัน
หากองค์กรสนับสนุน เช่น มีอุปกรณ์หรือพื้นที่ให้ออกกำลังกายช่วงพัก หรือมีนโยบายส่งเสริมการเคลื่อนไหว ก็สามารถใช้ช่วงเวลาสั้น ๆ ในการดูแลสุขภาพได้แบบไม่กระทบตารางงาน
คุณมิกกี้ยังเน้นว่า เทคโนโลยีคือเพื่อนร่วมทางที่ดี สำหรับการเริ่มต้น
ไม่ว่าจะเป็นแอปนับก้าวเดิน แอปออกกำลังกายที่มีโค้ชเสียงแนะนำระหว่างวิ่ง หรืออุปกรณ์สวมใส่ที่ช่วยตั้งเป้าหมายรายวัน ทั้งหมดนี้ช่วยลดข้ออ้างว่า “ไม่รู้จะเริ่มยังไง” และเปลี่ยนการเริ่มต้นให้กลายเป็นเรื่องเล็กที่ทำได้จริง
เพราะการดูแลสุขภาพ ไม่ได้เริ่มจากเวลาว่าง แต่เริ่มจาก “ความตั้งใจ” ที่คุณสร้างขึ้นได้ในแต่ละวัน
เมื่อสุขภาพคือทุนชีวิต และ Work-Life Balance คือตัวชี้วัดวัฒนธรรมองค์กร
คุณมิกกี้ชวนให้เราย้อนกลับมามองสิ่งพื้นฐานที่สุดในชีวิตประจำวัน—การนอนหลับ เรานอนเพียงพอหรือไม่ โดยเฉพาะในวันทำงานจันทร์ถึงศุกร์ ซึ่งควรให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างน้อย 6–8 ชั่วโมง เพื่อให้ทั้งกายและใจฟื้นฟูพร้อมรับวันใหม่
คำถามสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้ให้คิด คือ
“ที่ทำงานของคุณ เคารพต่อ Work-Life Balance ของคุณหรือไม่?”
คำถามนี้เรียบง่ายแต่สะเทือนใจ เพราะมันสะท้อนวัฒนธรรมองค์กร และความใส่ใจที่มีต่อสุขภาพของพนักงานได้อย่างชัดเจน
เทคโนโลยีในวันนี้สามารถเป็นได้ทั้ง “เครื่องมือช่วยดูแลชีวิต” และ “อุปสรรคที่บั่นทอนสมดุล”
หากใช้เชิงบวก เช่น การประชุมผ่าน Zoom แทนการเดินทาง ก็ช่วยประหยัดเวลา นำไปสู่การดูแลตัวเองมากขึ้น แต่หากใช้โดยขาดขอบเขต เช่น การเช็กอีเมลนอกเวลา การออนไลน์ตลอดเวลา ก็อาจทำให้เราไม่มีเวลาส่วนตัวเหลือเลย
คุณมิกกี้ยังแนะนำวิธีการฟื้นฟูร่างกาย 2 รูปแบบ:
แบบ Active เช่น การนวด การยืดกล้ามเนื้อ หรือการแช่น้ำเย็น
แบบ Passive คือ การนอนหลับอย่างเพียงพอ ซึ่งเป็นวิธีฟื้นฟูที่ทรงพลังและจำเป็นที่สุด
ท้ายที่สุด การดูแลสุขภาพไม่ใช่ทางเลือก แต่คือ “เงื่อนไขพื้นฐานของการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่”
เพราะเมื่อสุขภาพดี เราก็สามารถทำงาน สร้างสรรค์ และใช้เวลากับคนที่เรารักได้อย่างมีคุณภาพ และเทคโนโลยีที่เรามีอยู่ทุกวันนี้ สามารถช่วยให้ไปถึงจุดนั้นได้ หากเราเลือกใช้มันอย่างมีสติและสมดุล