สมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) ได้จัดสัมมนาเรื่อง “Psychological First Aid (PFA): การดูแลสุขภาพจิตพนักงานในองค์กรหลังแผ่นดินไหว”
โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 300 คน ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ
• ดร.นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ (หมอแน็ต) รองโฆษกกรมสุขภาพจิต
• คุณสุดคนึง ขัมภรัตน์ นายกสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย
• ดำเนินรายการโดย คุณพุฒิพัฒน์ อมรพิชญ์ปรัชญา
“การดูแลใจ” เริ่มได้ทันที แม้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ – โดย หมอแน็ต
หมอแน็ต ได้อธิบายถึงแนวคิดของ Psychological First Aid (PFA) ว่าเป็น "การปฐมพยาบาลทางใจ"
ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้ทันทีหลังเกิดเหตุการณ์รุนแรง เพื่อประคับประคองจิตใจของผู้เผชิญเหตุ
“PFA ไม่ใช่การวิเคราะห์ ไม่ใช่การบำบัด แต่คือการ ‘อยู่ตรงนั้น’ เพื่อให้เขารู้ว่า…เขาไม่ได้อยู่คนเดียว”
หลักการของ PFA: Look – Listen – Link
1. Look: สังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น เงียบลง แยกตัว ไม่มีสมาธิ แต่งตัวซึมเศร้า น้ำหนักเปลี่ยน
2. Listen: รับฟังอย่างลึกซึ้งโดยไม่ตัดสิน แค่การได้เล่า ได้ระบายความรู้สึก ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเยียวยา
3. Link: เชื่อมโยงไปยังระบบช่วยเหลือ เช่น HR, สายด่วนสุขภาพจิต 1323, นักจิตวิทยา, EAP
สัญญาณ “Red Flag” ที่ HR ต้องรู้ทัน
พฤติกรรมที่ HR ควรสังเกต (Red Flags)
• เงียบ ไม่พูด ไม่ร่วมกิจกรรม
o อาจสะท้อนถึงความเศร้า ซึม หรือความเครียดสะสม
o เป็นสัญญาณว่าเขากำลังปิดกั้นตนเองจากโลกภายนอก
• ไม่มีสมาธิในการทำงาน
o บ่งชี้ถึงความวิตกกังวล ความเครียด หรือสภาวะที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
o อาจเริ่มส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน
• แต่งตัวไม่เรียบร้อย ไม่ดูแลตนเองเหมือนเคย
o เป็นสัญญาณเตือนว่าพนักงานอาจเข้าสู่ภาวะซึมเศร้า หรือหมดแรงในการใช้ชีวิต
• น้ำหนักเปลี่ยนแปลงผิดปกติ (เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็ว)
o มักเกิดจากผลกระทบของความเครียดเรื้อรังที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการกินและการนอน
• แยกตัว ไม่เข้าสังคม
o อาจหมายถึงการปิดกั้นทางอารมณ์ ไม่พร้อมเปิดใจ หรือกำลังเผชิญกับความเครียดระดับสูง
สิ่งสำคัญคือ อาการเหล่านี้อาจไม่เกิดขึ้นในทันที หลังเหตุการณ์ แต่จะค่อยๆ ปรากฏในภายหลัง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ HR และหัวหน้างานต้องรู้จัก "สังเกตอย่างใส่ใจ"
เครื่องมือที่ HR นำไปใช้ได้ทันที
• Watjai.dmh.go.th – แบบประเมินสุขภาพจิต ความเครียด ความเสี่ยงซึมเศร้า
• Mood Tracker – บันทึกอารมณ์ประจำวัน
• Box Breathing – เทคนิคหายใจช่วยลดอาการ Panic
• Grounding Technique – เทคนิคจัดการเมื่อรู้สึกไม่มั่นคงทางใจ
• Talk Corner – จุดนั่งพูดคุยที่ไม่เป็นทางการ ให้คนได้ “ระบาย”
• Listening Hour – เวลาที่หัวหน้างานเปิดใจฟัง โดยไม่ให้คำแนะนำ
เพราะ “บางครั้ง…แค่เล่าก็เบาแล้ว”
เสียงจริงจากแนวหน้า – โดย คุณสุดคนึง ขัมภรัตน์
ในฐานะนายกสมาคมฯ และผู้คร่ำหวอดในแวดวง HR คุณสุดคนึงได้แบ่งปันประสบการณ์ตรงว่า “เหตุการณ์ครั้งนี้สอนเราว่า แผน BCP ที่องค์กรเตรียมไว้ อาจไม่ครอบคลุมเรื่อง ‘ใจ’ ของคนเลย”
จาก BCP สู่ HCP: Heart Care Plan
คุณสุดคนึงเสนอว่า องค์กรจำเป็นต้องมีแผน HCP (Heart Care Plan) ควบคู่กับ BCP ที่ครอบคลุมการฟื้นฟูทางใจ เช่น:
• พื้นที่พักใจ (Safe Zone)
• การอนุญาตให้ Work from Home ชั่วคราว
• อบรมหัวหน้าทีมเรื่อง PFA เบื้องต้น
• เวิร์กช็อปการฟัง การเข้าใจคน
บทบาทใหม่ของ HR: จาก “ผู้บริหารคน” สู่ “ผู้ดูแลใจ”
“การฟังไม่ใช่แค่ฟัง…แต่คือการมอบความมั่นคงทางใจให้คนๆ หนึ่งรู้ว่าเขาไม่ได้เผชิญอยู่คนเดียว”
คุณสุดคนึงเน้นย้ำว่า HR ต้องเปลี่ยนบทบาทจากการบริหารจัดการทั่วไป มาเป็นผู้สร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” สำหรับพนักงาน โดยการสร้างวัฒนธรรม Well-being ครอบคลุม 7 มิติ ได้แก่:
1. กายภาพ
2. จิตใจ
3. จิตวิญญาณ
4. สังคม
5. สิ่งแวดล้อม
6. การเงิน
7. การงาน
“บางครั้ง สิ่งที่พนักงานต้องการไม่ใช่คำตอบ…แต่คือใครสักคนที่ ‘นั่งอยู่ตรงนั้น’ ด้วยใจที่เข้าใจเขาจริงๆ”
แนวทางปฏิบัติสำหรับองค์กร
การดูแลจิตใจพนักงานหลังเกิดเหตุการณ์รุนแรงเป็นภารกิจที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในยุคที่ความเปราะบางทางใจเกิดขึ้นได้ง่าย องค์กรสามารถนำแนวทางต่อไปนี้ไปปรับใช้ได้ทันที:
1. เสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ PFA ให้กับทีม HR และหัวหน้างาน
เริ่มต้นจากการจัดอบรมเรื่อง Psychological First Aid โดยเน้นหลัก “Look–Listen–Link” ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการสังเกต รับฟัง และเชื่อมโยงพนักงานที่เผชิญภาวะวิกฤตไปยังระบบการช่วยเหลือที่เหมาะสม
2. วางระบบองค์กรที่รวมแผน HCP (Heart Care Plan) ควบคู่กับ BCP (Business Continuity Plan)
BCP ช่วยให้องค์กรเดินหน้าต่อได้ แต่ HCP คือแผนที่ช่วยให้ “คน” เดินหน้าต่อได้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญเหตุการณ์ที่กระทบใจอย่างรุนแรง
3. เปิดพื้นที่สำหรับการสื่อสารและการระบายความรู้สึก
องค์กรควรมีมุม Talk Corner หรือจัดกิจกรรม Listening Hour เป็นประจำ เพื่อให้พนักงานมีโอกาสพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ ลดความอึดอัดใจ และสร้างความรู้สึกว่า “เราอยู่ตรงนี้เพื่อคุณ”
4. ติดตามและประเมินสุขภาพจิตของพนักงานอย่างสม่ำเสมอ
แนะนำให้ใช้แบบประเมินสุขภาพจิตจากเว็บไซต์ watjai.dmh.go.th หรือจัดทำแบบประเมินภายในองค์กร เพื่อให้สามารถตรวจจับสัญญาณเตือน (Red Flag) ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
5. มีระบบการดูแลระยะยาวที่ยั่งยืน
องค์กรควรแต่งตั้งเจ้าหน้าที่อาสาทางใจ หรือผู้ประสานงานที่มีความเข้าใจด้านสุขภาพจิตในแต่ละหน่วยงาน เพื่อเป็นจุดเชื่อมต่อแรกเมื่อพนักงานต้องการความช่วยเหลือ
6. สนับสนุนการเรียนรู้ต่อเนื่องด้านสุขภาพจิตในที่ทำงาน
จัดเวิร์กช็อปหรือกิจกรรมเสริม เช่น การฝึก Grounding Technique, Box Breathing หรือการจัดการอารมณ์เบื้องต้น เพื่อให้พนักงานสามารถดูแลใจตนเองได้ และยังสามารถแบ่งปันให้เพื่อนร่วมงานได้เช่นกัน
“ความเข้าใจจากเพื่อนร่วมงานหนึ่งคน อาจเปลี่ยนความรู้สึกหมดหวังให้กลายเป็นความหวังได้อีกครั้ง”
การดูแลใจ ไม่ใช่หน้าที่ของหมอเพียงคนเดียว
แต่เป็นภารกิจร่วมกันของ “มนุษย์” ที่เห็นคุณค่าของ “มนุษย์” ด้วยกัน