>
สร้างแรงจูงใจอย่างไร ให้ตรงใจพนักงาน
January 6, 2021

สร้างแรงจูงใจอย่างไร ให้ตรงใจพนักงาน

ในโลกยุคศตวรรษที่ 21 ที่ “คน” เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะทำให้องค์กรชนะหรือแพ้ จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายทุกองค์กรว่า จะทำอย่างไรให้พนักงาน “อยาก” ที่จะทำงาน จะทำอย่างไรให้พนักงาน “ทุ่มเท” และนำศักยภาพที่ตนเองมีออกมาใช้ในการทำงานอย่างเต็มที่

หลายองค์กร ยังยึดติดกับรูปแบบการจูงใจแบบเดิม จูงใจโดยใช้ “แรงจูงใจภายนอก” กล่าวคือ ใช้ระบบ Carrots and Sticks พอพนักงานทำไม่ดีก็ลงโทษ พอพนักงานทำดีก็ให้รางวัล ซึ่งรางวัลที่ให้ส่วนใหญ่ก็มักหนีไม่พ้นเรื่อง “เงิน” เช่น การปรับเงินเดือน การเพิ่มโบนัส หรือ แม้แต่การให้หุ้นของบริษัท เป็นต้น  

การให้รางวัลที่เป็นตัวเงินเป็นสิ่งดี แต่การให้รางวัลแบบนี้จะเหมาะกับกรณีที่พนักงานยังได้ผลตอบแทนที่ไม่สูงนัก หรือได้ผลตอบแทนที่ยังไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ นอกจากนี้ผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินยังเหมาะกับงานที่ต้องใช้ “พลังกาย” ในการทำงาน เช่น งานที่ต้องทำเสร็จเป็นชิ้นๆ ในโรงงาน งานเคลื่อนย้ายสิ่งของ หรืองานบันทึกข้อมูล เป็นต้น

แต่สำหรับงานในยุคนี้ งานที่ใช้ “พลังกาย” จะเหลือน้อยลง เพราะงานประเภทนี้ถูกแทนที่ไปแล้วโดยเครื่องจักร งานในยุคนี้จึงเน้นการใช้ “พลังสมอง” และ “พลังใจ” ในการทำงาน ซึ่งการให้สิ่งจูงใจที่เป็นตัวเงินจะไม่เหมาะกับงานประเภทนี้

มีงานวิจัยหลายชิ้นที่แสดงว่า หากเป็นงานที่ต้องใช้ “สมอง” หรือใช้ “ใจ” ในการทำงาน ยิ่งเพิ่มแรงจูงใจโดยการให้เงินมากขึ้นเท่าไหร่ ผลลัพธ์ของงานกลับลดลงมากขึ้นเท่านั้น เพราะเงินจะไปปิดกั้นสมองไม่ให้คิดสร้างสรรค์ และเงินจะไปปิดกั้นใจให้ทำงานเฉพาะเมื่อได้รับผลตอบแทนเท่านั้น

เมื่อไม่ใช่เงินแล้ว อะไรจะเป็นแรงจูงใจให้พนักงานอยากทำงาน จากการวิจัยพบว่า “แรงจูงใจภายใน” ซึ่งคือ แรงจูงใจที่เกิดขึ้นจากภายในตัวของพนักงานเอง เป็นแรงจูงใจที่ได้ผลมากกว่า “แรงจูงใจภายนอก” ซึ่งหมายถึงแรงจูงใจที่ต้องให้คนอื่นเป็นผู้มอบให้

แรงจูงใจภายในที่ค้นพบว่าทรงพลังมากที่สุดสำหรับคนทำงานในยุคนี้มี 3 เรื่องหลัก คือ “การมีอิสระ (Autonomy)” “การได้พัฒนางานให้ดีขึ้นและพัฒนาตนให้เก่งขึ้น (Mastery)” และ “การได้ทำงานที่มีความหมาย (Purpose)” ซึ่งเราจะมาดูกันว่า ในแต่ละเรื่องมีรายละเอียดอย่างไร และผู้บริหารรวมถึงนัก HR จะมีวิธีในการใช้แรงจูงใจทั้ง 3 เรื่องอย่างไรในองค์กร

1. การมีอิสระ (Autonomy)

หมายถึง “การที่พนักงานได้มีอิสระ ได้มีสิทธิในการเลือก รวมทั้งสามารถที่จะควบคุมชีวิตของตนเองได้” พนักงานในยุคปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานรุ่นใหม่ ต่างต้องการความมีอิสระ ทั้งอิสระทางด้านความคิด อิสระในวิธีการทำงาน หรือแม้แต่อิสระในการเลือกใช้ชีวิต

พนักงานในยุคปัจจุบันไม่ชอบที่จะถูกควบคุม ไม่ว่าจะเป็นการถูกควบคุมโดยกฎระเบียบที่เคร่งครัดของบริษัท ถูกควบคุมโดยกระบวนการทำงาน หรือถูกควบคุมโดยหัวหน้างาน

การถูกควบคุมโดยกฎระเบียบ เช่น การต้องเข้างานตามเวลาที่กำหนด การต้องแต่งกายด้วยชุดยูนิฟอร์มขององค์กร เป็นต้น ส่วนการถูกควบคุมโดยกระบวนการทำงาน เช่น การที่ต้องทำงานตามขั้นตอนที่กำหนดไว้เท่านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

สำหรับการถูกควบคุมโดย “หัวหน้างาน” ซึ่งถือเป็นเรื่องที่พบได้มากที่สุด กล่าวคือ หัวหน้างานส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีการบริหารงานแบบยุคเดิมที่ยึดถือ “ตัวเอง” เป็นศูนย์กลาง ยึดถือว่าความคิดและวิธีการของตนเองเท่านั้นที่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ดังนั้น จึงครอบงำความคิดของลูกน้อง ไม่เปิดโอกาสให้ลูกน้องได้คิดและได้ทำตามวิธีที่ลูกน้องเห็นสมควร หัวหน้างานประเภทนี้มักจะมีอีโก้สูง และใช้วิธีการบริหารงานแบบ Micro Management คือ การควบคุมในทุกรายละเอียด ทำเหมือนลูกน้องเป็น “หุ่นยนต์” ที่มีหน้าที่ทำตามคำสั่งเท่านั้น จึงทำให้ลูกน้องอึดอัดและเลือกที่จะลาออกจากองค์กรไป

เมื่อคนทำงานยุคใหม่ต้องการ “อิสระ” มากขึ้น จึงเป็นโจทย์ที่ผู้บริหารและนัก HR ต้องค้นหาวิธีการที่จะให้อิสระแก่พนักงาน เป็นอิสระที่พนักงานพึงพอใจ แต่ไม่ทำให้องค์กรต้องสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไป โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1.1 การให้อิสระในเรื่องความคิดและวิธีการทำงาน

ควรจัดให้มีการสร้าง “วัฒนธรรมองค์กร” ในการเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นของพนักงานทุกระดับ รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาให้หัวหน้างานทุกคนใช้วิธีการบริหารงานที่ถูกต้องเหมาะสม โดยให้พนักงานได้มีโอกาสคิดและทำงานตามวิธีการที่เขาต้องการ แต่ได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายขององค์กร โดยลดการสั่งการและควบคุม (Controlling) แล้วหันมากระจายอำนาจให้พนักงาน (Empowerment) แทน

1.2 การยืดหยุ่นในเรื่องที่สามารถยืดหยุ่นได้

องค์กรควรหันมาเน้นที่ผลลัพธ์ของงานแทนที่จะควบคุมในเรื่องกฎระเบียบต่างๆ โดยยืดหยุ่นในเรื่องที่สามารถยืดหยุ่นได้ เช่น ยืดหยุ่นในเรื่องเวลาการทำงานในหน่วยงานที่สามารถวัดผลลัพธ์ของงานได้อย่างชัดเจน หรือยืดหยุ่นเรื่องการแต่งกายของพนักงานให้ผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การยืดหยุ่นในเรื่องต่างๆ ควรยึดหลัก “ยืดหยุ่นในวิธีการ แต่เข้มข้นในเรื่องผลงาน” กล่าวคือ เมื่อองค์กรผ่อนคลายในเรื่องต่างๆ แล้ว ต้องมั่นใจว่าพนักงานจะมีวินัยและรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่

1.3 การให้พนักงานมีสิทธิในการเลือก

องค์กรควรจัดโปรแกรมต่างๆ และให้พนักงานมีสิทธิที่จะเลือกให้สอดคล้องกับ Lifestyle ของตนเอง เช่น การจัดสวัสดิการแบบยืดหยุ่น เพื่อให้พนักงานมีสิทธิเลือกโปรแกรมที่ตรงกับความต้องการของพนักงานแต่ละ Generation หรือการจัดสัดส่วนการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อให้พนักงานมีสิทธิเลือกตามความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ตัวเองต้องการ เป็นต้น

2. การพัฒนางานให้ดีขึ้น และพัฒนาตนให้เก่งขึ้น (Mastery)

หมายถึง “การที่พนักงานได้มีโอกาสใช้ความรู้ความสามารถของตนเองในการทำงานที่ท้าทาย และได้พัฒนางานในความรับผิดชอบให้ดีขึ้น รวมถึงการได้มีโอกาสพัฒนาศักยภาพของตนเองให้เก่งยิ่งขึ้น”

คนรุ่นใหม่จะชอบทำงานที่ตัวเองได้ใช้ทักษะความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ ชอบงานที่ให้ความรู้สึกที่ท้าทายต่อความสามารถของตนเอง ชอบงานที่เปิดโอกาสให้พัฒนางานให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงชอบงานที่ตัวเองได้เรียนรู้ไปในขณะทำงานด้วย

หากองค์กรมอบหมายงานที่พนักงานรู้สึกว่าไม่ท้าทาย หรือไม่ได้ทำให้เขาเก่งขึ้น พนักงานในก็มักจะไม่อดทนและจะลาออกจากองค์กรไป หรือหากไม่ลาออกก็จะทำงานไปแบบ “เช้าชามเย็นชาม” คือ การชอบเย็นวันศุกร์ เกลียดเช้าวันจันทร์ และรอคอยวันที่จะได้เกษียณอายุ ดังนั้น ผู้บริหารและนัก HR จึงต้องให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนางานและพัฒนาคน โดยควรสร้างแรงจูงใจให้แก่พนักงาน ดังนี้

2.1 ทำให้งานทุกตำแหน่งในองค์กรมีคุณค่า

องค์กรต้องแน่ใจว่า งานทุกตำแหน่งในองค์กรเป็นงานที่ท้าทาย เป็นงานที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่จึงจะสำเร็จ หากมีงานที่ไม่ท้าทาย หรือเป็นงานลักษณะ Routine ควรจัดให้มีการ Outsource งานนั้นออกไป เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย และทำให้พนักงานได้ใช้เวลาไปกับการทำงานที่สำคัญได้อย่างเต็มที่

2.2 เปิดโอกาสให้พนักงานพัฒนางานให้ดียิ่งขึ้น

สนับสนุนให้พนักงานทุกคนได้พัฒนางานที่ตนเองรับผิดชอบ โดยจัดโครงการประกวดนวัตกรรมต่างๆ รวมทั้งควรเน้นการสร้างวัฒนธรรมองค์กร โดยให้พนักงานทุกคนไม่นิ่งดูดายและต้องไม่ยอมอดทนต่องานที่ยังไม่ดีพอ อีกทั้งควรกำหนดให้พนักงานทุกคนยึดถือลูกค้าเป็นศูนย์กลาง โดยให้พนักงานสามารถคิดพัฒนางานหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ในหน่วยงานอื่นได้ โดยที่พนักงานที่รับผิดชอบอยู่ ไม่รู้สึกว่าถูกก้าวก่าย

2.3 การพัฒนาพนักงานอย่างเข้มข้น

จัดให้มีการพัฒนาพนักงานอย่างเข้มข้น โดยเน้นการพัฒนาพนักงานที่เหมาะสมกับพนักงานแต่ละคน ด้วยการจัดทำแผนพัฒนารายบุคคล (Individual Development Plan : IDP) ผ่านการเรียนรู้ในช่องทางต่างๆ โดยให้ความสำคัญกับการเรียนรู้จากการทำงานจริง เช่น การมอบหมายให้ทำ Project ต่างๆ รวมถึงการที่หัวหน้างานจะต้องมีการ Coaching & Feedback ที่มีคุณภาพให้แก่พนักงานอย่างสม่ำเสมอ

3. การได้ทำงานที่มีความหมาย (Purpose)

หมายถึง “การที่พนักงานได้ทำงานที่มีความหมาย งานที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น และงานที่มีส่วนช่วยให้สังคมโดยรวมน่าอยู่มากยิ่งขึ้น”

คนรุ่นใหม่ จะรู้สึกดีถ้าสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นได้ช่วยเหลือผู้อื่นให้มีชีวิตที่ดีขึ้น หรือ ช่วยรักษาโลกของเราให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น เช่น Websites Wikipedia ได้เปิดโอกาสให้คนทั่วโลก เป็นอาสาสมัครในการเข้าไปจัดทำสารานุกรมความรู้ต่างๆ และเปิดโอกาสให้ผู้มีความรู้เข้าไปแก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา โดยไม่ได้มีการจ่ายผลตอบแทนให้ ซึ่งปรากฏว่ามีอาสาสมัครเต็มใจที่จะเข้าไปเพิ่มเติมข้อมูลมากมาย จนทำให้ Wikipedia เป็นหนึ่งใน Websites ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในโลก

ผู้บริหารและนัก HR สามารถสร้างแรงจูงใจในเรื่องการได้ทำงานที่มีความหมาย ให้เกิดขึ้นภายในองค์กร ได้ดังนี้

3.1 สร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้า

องค์กรต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีความเป็นเลิศ ที่ทำให้ชีวิตของลูกค้าง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ดังเช่น การที่บริษัท Apple พยายามสร้างเทคโนโลยีที่ดีของ Smartphone ทำให้ลูกค้ามีชีวิตที่ทันสมัยสะดวกสบาย ซึ่งทำให้พนักงานของบริษัทมีความภาคภูมิใจไปด้วย

3.2 การดำเนินโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน สังคม ประเทศ และโลก

นอกจากผลลัพธ์ทางธุรกิจที่องค์กรต้องเน้นแล้ว องค์กรควรให้ความสำคัญกับเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development: SD) หรือความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) ด้วย โดยส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาชุมชน สังคม ประเทศไทยของเรา และโลก ซึ่งจะทำให้พนักงานรู้สึกถึงการได้ใช้ชีวิตที่มีความหมาย

3.3  จัดโครงการที่เชื่อมโยงกับพนักงาน

องค์กรควรสนับสนุนพนักงานให้มีส่วนร่วมในการดูแลรักษาบ้านเกิด โดยจัดโครงการมอบทุนให้พนักงานนำไปพัฒนาภูมิลำเนาของพนักงาน หรืออนุญาตให้พนักงานได้ใช้เวลาไปทำประโยชน์ให้แก่บ้านเกิด โดยไม่ถือว่าเป็นวันลา เป็นต้น

โลกในยุคปัจจุบันเป็นโลกยุคใหม่ วิธีการจูงใจแบบเดิม ๆ โดยเน้นแรงจูงใจที่เป็น “ตัวเงิน” จะลดความสำคัญลงเป็นลำดับ พนักงานในโลกยุคนี้มีความผูกพัน (Engagement) กับองค์กรน้อยลงเรื่อย ๆ ดังนั้น วิธีที่จะเสริมสร้างแรงจูงใจที่ดีที่สุดคือ การทำให้พนักงานรู้สึกได้ถึง “ความมีอิสระ” คือ อิสระในการคิดและอิสระในการเลือกทำสิ่งต่าง ๆ การทำให้พนักงานรู้สึกได้ถึง “การพัฒนา” คือ เขามีโอกาสได้พัฒนางานและพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งการทำให้พนักงานรู้สึกได้ถึง “การมีความหมาย” คือ การที่ได้มีโอกาสทำอะไรที่ยิ่งใหญ่นอกเหนือจากการทำเพื่อตัวเองซึ่งหากทำเช่นนี้ ก็เหมือนกับการได้ทำให้พนักงานรู้สึกมี “แรงบันดาลใจ” ที่จะใช้ “ศักยภาพขั้นสูงสุด” ในการทำงานให้แก่ตนเองและองค์กรตลอดไป

Tag:
No items found.
Share this post:
ประสิทธิ์ องอาจตระกูล

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024