>
ก้าวต่อไปของ HR: การพัฒนาทุนมนุษย์ไร้ขอบเขต
January 16, 2022

ก้าวต่อไปของ HR: การพัฒนาทุนมนุษย์ไร้ขอบเขต

เมื่อนักทรัพยากรมนุษย์ทั้งในและต่างประเทศมารวมตัวกันในงานสัมมนาระดับนานาชาติ ในหัวข้อ Building People Capability for Organization Sustainability ในโอกาสที่สมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทยครบรอบ 50 ปีแห่งการก่อตั้งสมาคมวิชาชีพด้านการบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคลในประเทศไทย ร่วมแบ่งปันความรู้ และประสบการณ์ พร้อมตอกย้ำว่าทุนมนุษย์ (Human Capital) มีความสำคัญต่อการสร้างความยั่งยืนขององค์การ

ในมุมมองของวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและนักบริหารทรัพยากรบุคคลจากองค์การทั้งในและต่างประเทศที่มีต่อการบริหารทุนมนุษย์ในปี พ.ศ. 2559 และในอนาคต (Human Capital Trend in 2016 and Beyond) เห็นว่าการบริหารและพัฒนาทุนมนุษย์เป็นเรื่องที่ท้าทายต่อผู้บริหารและนักทรัพยากรมนุษย์ในองค์การ บทบาทของทรัพยากรมนุษย์ในโลกของธุรกิจซึ่งมีการแข่งขันสูง มีสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปสู่โลกแห่งความทันสมัย มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านประชากรศาสตร์ ส่งผลให้ผู้บริหารจะต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบในการบริหารงาน ปรับเปลี่ยนทัศนคติให้มีความสอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเด็นที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์ต่อการบริหารและได้มีการคาดการณ์สถานการณ์ในเรื่องนี้ไว้ดังนี้

1. ผู้นำในยุคดิจิตอล (Leadership in Digital World)

การเปลี่ยนแปลงของโลก (New force of global change) ในปัจจุบันจะต้องเผชิญกับแรงกดดันรูปแบบใหม่ ทั้งการแข่งขันที่สูงขึ้น และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างฉับพลัน องค์การทุกภาคส่วนจะต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกองค์การอยู่ตลอดเวลา สภาพแวดล้อมที่องค์การจะต้องเผชิญนั้นมีลักษณะตามปัจจัยต่าง ๆ ที่เรียกว่า “VUCA” ซึ่งเป็นคำย่อมาจาก

Volatility คือ ความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายต่าง ๆ จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเกิดขึ้นบ่อยๆ ความคงที่ของสถานการณ์ต่างๆ จะลดลง

Uncertainty คือ ความท้าทายต่างๆ จะมีความไม่แน่นอน คาดเดาได้ยาก หรืออาจะเกิดขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย

Complexity คือ การเปลี่ยนแปลงนั้นมีความซับซ้อน ประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ ที่หลากหลาย ทำให้การดำเนินงานต่าง ๆ ต้องพิจารณาปัจจัยที่อาจมีผลกระทบมากขึ้น

Ambiguity คือ ความกำกวม รายละเอียดของสถานการณ์ต่างๆ จะยากต่อการระบุรายละเอียดที่ชัดเจน ส่งผลให้การพิจารณาเงื่อนไข การหาเหตุและผลได้ยากขึ้นด้วยเช่นกัน

ในการบริหารจัดการของผู้นำในยุคนี้ ต้องมีการปรับเปลี่ยนมุมมอง กำหนดวิสัยทัศน์ใหม่ เพื่อให้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลง ค้นหาวิธีการ แนวคิด กระบวนการแก้ไขปัญหาได้อย่างรอบด้าน สามารถนำข้อมูลที่มีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ รู้จักใช้ social network เพื่อความรวดเร็วในการสื่อสาร การ รวมถึงสร้างบรรยากาศการทำงานที่สนับสนุนการทำงานเป็นทีมให้มีการร่วมมือกัน แบ่งปันความรู้ ทักษะต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร ทั้งนี้ ในการดำเนินงานต่าง ๆ จะต้องคำนึงถึงผลตอบแทนจากการพัฒนาองค์การ พัฒนาผู้นำ ให้เกิดประสิทธิผลตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ขององค์การ  ทั้งนี้ ผู้นำจะต้องสามารถสร้างความร่วมมือ (Collaboration) ให้เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกองค์การ สามารถหาแนวคิดและวิธีการทำงานใหม่ๆ เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สร้างแรงจูงใจให้กับสมาชิกในองค์การ มีระบบการทำงานที่มีพี่เลี้ยงที่สามารถถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้กับพนักงานทั้งในด้านการทำงานและการใช้ชีวิต

การบริหารงานแบบเก่าด้วยการสั่งการหรือการควบคุมจะลดน้อยลง แต่จะมีการส่งเสริมความผูกพันต่อองค์การให้กับพนักงาน ส่งเสริมคุณภาพชีวิตการทำงานที่ดีขึ้น ซึ่งผู้นำในองค์การนั้นเป็นผู้ที่มีบทอย่างยิ่งต่อการปรับเปลี่ยนรูปแบบ แนวคิด มุมมอง ในการบริหารงานให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน รวมถึงการมีความเข้าใจเรื่องของวุฒิภาวะทางอารมณ์

2. วัฒนธรรมการทำงาน (Working Culture)

ประเด็นที่มีการกล่าวถึงกันอย่างมากอีกประเด็นหนึ่ง คือการสร้างวัฒนธรรมการทำงานในยุคดิจิตอล องค์การควรกำหนดวัฒนธรรมทำงานและสื่อสารให้พนักงานมีความเข้าใจในเจตนารมณ์ของแนวประพฤติปฏิบัตินี้อย่างแท้จริง เพื่อสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถนำองค์การให้ไปสู่เป้าหมาย ทั้งนี้ วัฒนธรรมการทำงานควรประกอบด้วย

> วัฒนธรรมการทำงานที่เปิดกว้าง เปิดใจในการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมถึงการให้เกียรติซึ่งกันและกัน (Openness and Respect Others)

> การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง (Continuous learning)

> ยึดมั่นในจริยธรรม หลักคุณธรรม (Ethics and Integrity)

> มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล (Result Oriented)

> จิตสำนึกของการทำงานเป็นทีม (Team spirit)

3. องค์การแบบเครือข่าย (Network Organization)

การทำงานในองค์กรสมัยใหม่ จะไม่ใช่การทำงานตามหน้าที่ตามโครงสร้างองค์การเท่านั้น แต่จะเป็นการทำงานแบบเครือข่ายการทำงานเป็นทีม (Networks of Team) มากขึ้น ได้มีการคาดการณ์ว่าในอนาคตองค์การที่มีโครงสร้างในการทำงานจะลดลงเหลือเพียงร้อยละ 38 แต่จะมีการสร้างเครือข่ายภายในองค์การโดยการร่วมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขามาทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อให้ได้มุมมอง แนวคิด จากฝ่ายต่าง ๆ ไปสู่การแก้ปัญหา และการสร้างสรรค์ผลงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำงานรูปแบบใหม่ ด้วยการร่วมกลุ่มเพื่อทำงานเป็นทีม (การทำงานแบบ “Teams in Teams) นั้นจะมีเป้าหมายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า (Customer Centric) ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงต้องอาศัยความรู้ และทักษะจากหลากหลายด้านมาร่วมกันสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ให้กับลูกค้า มีการสื่อสารและประสานงานกันมากขึ้น สมาชิกในทีมจะมีทักษะแตกต่างกันตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายในการทำงาน

องค์การที่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นต้องประสานงานได้อย่างรวดเร็ว ข้อมูลที่มีอยู่ต้องมีความทันสมัย ทันเหตุการณ์ และมีการปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ เพื่อให้การประสานงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว และลดความซ้ำซ้อนในการทำงานองค์การจะต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างลำดับชั้นการทำงานให้มีลำดับชั้นน้อยลง จะทำให้ผู้นำระดับสูงสามารถสื่อสารกับพนักงานในระดับปฏิบัติการได้ง่ายขึ้น สามารถถ่ายทอดวิสัยทัศน์ ค่านิยมไปสู่พนักงานได้อย่างดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในการประเมินผลงานและการให้รางวัลควรขึ้นอยู่กับผลการทำงานของทีม เพื่อสนับสนุนให้พนักงานมีการร่วมมือกัน มีปฏิสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนข้อมูล ให้เกิดการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ และเมื่อองค์การสามารถบรรลุวัตถุประสงค์การทำงานแล้ว จะต้องมีการตั้งเป้าหมายใหม่ นำไปสู่การเรียนรู้และพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้อย่างต่อเนื่อง

4. การบริหารผลการปฏิบัติงาน (Performance Management System: PMS)

การบริหารผลการปฏิบัติงานควรสอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป และการบริหารผลการปฏิบัติงานเน้นที่ความต่อเนื่องของกระบวนการทั้งหมด การประเมินผลการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพจะต้องแตกต่างและยืดหยุ่นตามพนักงานแต่ละคน และมีการนำเทคโนโลยีหรือเครื่องมือที่เหมาะสมมาใช้ในบริหารผลการปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการบันทึกและจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ และสามารถใช้อ้างอิงได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ ผู้บริหารต้องสร้างความตระหนักและให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานอย่างโปร่งใส แลสร้างความเข้าใจในเรื่องนี้แก่พนักงานทุกระดับว่า การบริหารผลการปฏิบัติงานไม่ได้เป็นการสั่งการจากผู้บังคับบัญชา แต่เป็นเรื่องที่พนักงานต้องรับผิดชอบตนเองโดยมีผู้บังคับบัญชาสนับสนุนและช่วยเหลือ พร้อมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากพนักงาน รับทราบสิ่งที่พนักงานคาดหวังจากองค์กร  

งานวิจัยของ Deloitte (2016) เรื่อง Predictions for 2016: A Bold New World of Talent, Learning, Leadership, and HR Technology Ahead พบว่า บริษัทมากกว่า 60% ออกแบบการบริหารผลการปฏิบัติงานใหม่ ที่เห็นได้ชัดคือ เปลี่ยนจาก Top-down rating และ Ranking เป็น Feedback Centric ซึ่งแนวคิดนี้นำไปสู่การบริหารผลการปฏิบัติงานที่ใช้หลักการในการ empower พนักงานในการบริหารผลการปฏิบัติงาน การประเมินผลงานเป็นกระบวนการที่ทำอย่างสม่ำเสมอทั้งปี และเน้นการพัฒนาพนักงานเพื่อเพิ่มเติมความรู้ ความสามารถและพฤติกรรมที่ดีในการปฏิบัติงานให้ได้รับผลสำเร็จตามเป้าหมาย

5. การบริหารจัดการคนเก่ง (Talent Management)

กลยุทธ์ในการบริหารจัดการคนเก่งและการวางแผนเส้นทางอาชีพ มีความสำคัญต่อการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน องค์การต่าง ๆ จะต้องออกแบบกระบวนการสรรหาที่เข้าถึงคนเก่ง เพื่อสามารถดึงดูดคนเก่งมาร่วมงานด้วย ทั้งนี้องค์การจะใช้ประโยชน์จากเครือข่ายในการสรรหาคนเก่งทั้งภายในและภายนอกองค์กร รวมทั้งการใช้ Social media ในรูปแบบต่าง ๆ มาช่วยในการสรรหาพนักงานใหม่ที่เป็นคนเก่งเข้ามาทำงานในองค์กร

การเคลื่อนย้ายของคนเก่ง และกลยุทธ์ในการบริหารจัดการสายอาชีพ จะกลายมาเป็นเรื่องที่สำคัญในการแข่งขันกันขององค์การ พนักงานในองค์การสามารถไปทำงานที่องค์การอื่น ๆ ได้ตามความสนใจและความสามารถของตนเอง  ดังนั้นองค์การจะต้องสร้างแรงจูงใจให้เหมาะสมเพื่อดึงดูดไม่ให้พนักงานออกไปทำงานที่อื่น การสร้างแบรนด์ขององค์การ และการสร้างความผูกพันในองค์การ จะทำให้พนักงานมีความสุขในการทำงาน และช่วยลดอัตราการลาออก  การจัดให้มีโค้ช (Coach) และพี่เลี้ยง (Mentor) ให้คำปรึกษาไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติงาน การแก้ปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่จะก้าวพ้นไปสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงาน การให้คำแนะนำเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่และสังคมในที่ทำงานและการพัฒนาอาชีพ นอกจากนี้ องค์การจะต้องเปิดโอกาสให้พนักงานเปลี่ยนหน้าที่ไปสู่ตำแหน่งใหม่ที่สนใจ ด้วยการเข้าถึงข้อมูลของระบบการสรรหาภายใน รวมถึง

ความยืดหยุ่นในการทำงานเป็นอีกวิธีการหนึ่งในการบริหารจัดการคนเก่ง ซึ่งรวมถึงความยืดหยุ่นทางด้านเวลา (Flexi-hours) และสถานที่ในการทำงาน (Work anywhere) ความยืดหยุ่นในการทำงานสามารถสร้างความสมดุลระหว่างการทำงานและการดำเนินชีวิต เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและเพิ่มผลตอบแทนให้กับองค์การ

6. ความหลากหลายในที่ทำงาน (Diversity Management)

สภาพแวดล้อมในการทำงานในโลกปัจจุบัน นั้นเปรียบเสมือนโลกไร้พรมแดน แรงงานสามารถเคลื่อนย้ายการทำงานไปยังประเทศต่าง ๆ ได้อย่างอิสระเสรีมากขึ้น ทำให้ประชากรในองค์การ มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นด้วย ได้แก่

การจ้างลูกจ้างจากประเทศอื่นๆ ทำให้เกิดการผสมผสานของ Talent ซึ่งองค์การต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่พนักงานรู้สึกว่ามีส่วนร่วม (feel included) การให้เกียรติซึ่งกันและกัน การเห็นคุณค่าของผู้อื่น การแบ่งปันความรู้ และทำงานแบบร่วมมือร่วมใจกัน (Collaboration) เพื่อความสำเร็จขององค์การ

ความหลายหลายทางเพศ ซึ่งหลายองค์การได้ให้ความสำคัญในเรื่องของเพศหญิง เพศชาย และเพศที่สาม หรือ LGBT (Lesbian, Gay, Bisexual, and Transgender) ความหลากหลายทางอายุ ที่ประกอบด้วยพนักงานที่มีช่วงอายุที่แตกต่างกัน 5 กลุ่ม (5 Generations) คือ Traditional, Baby Boomer, Gen X, Gen Y และ Gen Z นอกจากนี้ ผู้หญิงจะเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น ดังนั้น การทำงานและการอยู่ร่วมกันในองค์การ จะต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม

7. การสร้างความผูกพันและการรักษาบุคคลกร (Engagement and Retention)

เรื่องการสร้างความผูกพันและการรักษาบุคลากร ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาประจำปีขององค์การ แต่เป็นปัญหาต่อเนื่อง ซึ่งองค์การต่างๆพยายามสร้างบรรยากาศและสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ส่งเสริมให้พนักงานมีความสุขในการทำงาน มีการสำรวจความพึงพอใจและความผูกพันที่พนักงานมีต่อองค์การ และนำผลการสำรวจมาปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงาน กระบวนการทำงาน การจัดการเรียนรู้และพัฒนา และ ฯลฯ รวมถึงมีความพยายามทำให้พนักงานเข้าใจในวิสัยทัศน์และค่านิยมขององค์การ เพื่อการสร้างความร่วมมือในการทำงาน สร้างให้เกิดความรักในสิ่งที่ทำ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลการปฏิบัติงานที่ดี และมีประสิทธิภาพมากขึ้น  

นักทรัพยากรมนุษย์เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดกลยุทธ์เพื่อรักษาบุคลากร สร้างให้เกิดความผูกพันในองค์การ และการพัฒนาบุคลากรที่เป็นกำลังสำคัญขององค์การ เนื่องจากการที่พนักงานลาออกและต้องสรรหาคัดเลือกพนักงานใหม่ เป็นการเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายที่สูง และในบางกรณีทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจ ดังนั้นการรักษาคนเก่งจึงเป็นเป็นปัจจัยสู่ความสำเร็จและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ทั้งนี้เพื่อให้การบริหารองค์การเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด แผนการสร้างความผูกพันและการรักษาบุคลากร จะต้องสอดคล้องกับแผนธุรกิจขององค์การ  

8. การจัดการข้อมูล (Big Data) และการการวิเคราะห์ข้อมูลพนักงานในองค์การ (Metrics and Analytics)

เมื่อองค์การมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เก็บรวบรวมข้อมูลขององค์การ ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์จะต้องสามารถบริหารจัดการข้อมูลที่มีอยู่ และสามารถวิเคราะห์ข้อมูลนั้นๆ เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตัวอย่างเช่น ในอเมริกาได้มีการนำ SHRM Workforce Analytics Model เข้ามาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับอัตรากำลังคน ดังนี้

> Assess and Plan การประเมินและการวางแผน นักทรัพยากรมนุษย์ต้องมีความรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์ เป้าหมายขององค์การ และแผนในการปฏิบัติงาน จากนั้นจึงทำการกำหนดทีมประเมินซึ่งอาจเป็นคณะกรรมการ เป็นตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ

> Link and Align ในการเชื่อมโยงข้อมูล สมาชิกในทีมจะต้องทราบว่ากลยุทธ์ของธุรกิจมีผลกระทบต่อการวางแผนกำลังคนอย่างไร จากนั้นจึงทำการกำหนดอัตรากำลังให้สนับสนุนธุรกิจ เช่น กลยุทธ์ของธุรกิจร้านค้าปลีก จะทำการขยายสาขาจำนวน 20 สาขา ในการวางแผนบุคลากรที่จะขับเคลื่อนธุรกิจ คือ การจ้างพนักงาน การฝึกอบรมพนักงาน การพัฒนาทักษะการเป็นผู้จัดการให้กับพนักงาน รวมถึงกระบวนการในการหล่อหลอมและพัฒนาบุคลากรใหม่

> Identify and Build การสร้างกระบวนการวัดผลและการวิเคราะห์ อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น จำนวนพนักงานที่รับเข้า อัตราการเติมเต็มตำแหน่งงาน ระยะเวลาการสรรหาพนักงาน และความคุ้มค่าจากการสรรหาพนักงาน

> Implement and Execute ในการวิเคราะห์และประเมินผล ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์จะต้องมีการระบุระยะเวลาในการดำเนินงาน เช่น การประเมินทุกเดือน ประเมินใคร และนำเสนอต่อฝ่ายบริหาร เพื่อรับฟังคำแนะนำจากผู้อื่น

9. การเรียนรู้รูปแบบใหม่ (New Learning Dynamic)

การเรียนรู้ในองค์กรจะมีการเปลี่ยนแปลงและมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น การเรียนรู้ของพนักงานในองค์การ จะได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่ โดยเน้นงานที่สำคัญ สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ผ่านการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยี ให้ความสำคัญกับการพัฒนา ออกแบบและมุ่งเน้น ความเป็นมืออาชีพของบุคลากร ทั้งนี้การทำงานของนักทรัพยากรมนุษย์แบบทั่วไป จะถูกแทนที่ด้วยนักทรัพยากรมนุษย์ที่สามารถเป็นคู่คิดทางธุรกิจให้กับผู้บริหารได้ โดยมีการพัฒนาเครือข่ายความเชี่ยวชาญมากกว่าการสร้างศูนย์รวมความเชี่ยวชาญ

โมเดลการพัฒนาบุคลากรที่ Professor Dave Ulrich แนะนำ คือ 50-30-20 ซึ่งหมายถึงสัดส่วนของการพัฒนานั้นจะต้องประกอบด้วย

50% เป็นการเรียนรู้ผ่านการทำงาน (On-the-Job Experience) ไม่ว่าจะเป็นการมอบหมายงานหรือโครงการที่ท้าทาย

30% เป็นการเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ เช่น ผู้บังคับบัญชา หรือบุคคลอื่น ๆ ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ

20% คือการอบรม (Training) ในหลักสูตรต่างๆ

การเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง เพราะจะทำให้สามารถนำประเด็นปัญหา หรือสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงมาใช้เป็นกรณีศึกษาในการเรียนรู้ร่วมกัน

การบริหารจัดการทุนมนุษย์ในประเทศไทย

ในบริบทของการบริหารจัดการทุนมนุษย์ในประเทศไทย นักบริหารทรัพยากรมนุษย์มีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการทุนมนุษย์ในองค์การได้อย่างเหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจและวัฒนธรรมขององค์การ เพื่อเพิ่มผลิตภาพและสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจขององค์การ ในการทำงานร่วมกับผู้บริหารในสายงานอื่นๆ นักทรัพยากรมนุษย์ควรพัฒนาตนเองและทีมงานให้มีความสามารถในเรื่องต่าง ๆ และสามารถตอบโจทย์ความคาดหวังของผู้บริหารระดับสูงได้

1. การเป็นคู่คิดทางธุรกิจ (Business Partner) ให้กับผู้บริหารระดับสูง

ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ต้องมีความสามารถในการทำหน้าที่เป็นคู่คิดทางธุรกิจ สามารถมองภาพรวมของการดำเนินธุรกิจขององค์การได้อย่างดี สามารถให้คำแนะนำ ข้อคิดเห็น และเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้บริหารได้โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ขององค์การ นักทรัพยากรมนุษย์ต้องมีความสามารถในการนำเสนอแนวคิดการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นประโยชน์ต่อองค์การให้แก่ผู้บริหารระดับสูงเห็นถึงความสำคัญและประโยชน์ที่จะได้รับได้อย่างชัดเจน สิ่งที่ผู้บริหารระดับสูงคาดหวังคือ ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์สามารถสรรหา รักษาและพัฒนาพนักงานที่มีความสามารถ ที่เป็นคนเก่งและเป็นคนดีไว้กับองค์การ สามารถนำการเปลี่ยนแปลงด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ได้ตามสถานการณ์ และบริหารจัดการข้อมูลด้านบุคลากรและสามารถนำข้อมูลมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในการที่จะทำหน้าที่เป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจได้นั้น ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ต้องไม่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงานด้าน Admin หรืองานประจำวัน (Routine) ดังนั้นต้องบริหารจัดการงานประจำวันให้เป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการทำงาน พร้อมกับทำหน้าที่ประสานระหว่างพนักงานและผู้บริหารให้มีความเข้าใจที่ดีต่อกัน

2. การเป็นผู้ประสานประโยชน์และการสร้างวัฒนธรรมองค์การ

สิ่งสำคัญของการเป็นนักทรัพยากรมนุษย์ คือ การมีทัศนคติด้านมนุษย์ นั่นหมายถึง การเข้าใจมนุษย์ เข้าวิธีคิดและความแตกต่างของคน เข้าใจในสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมในองค์การ ความไว้วางใจในระหว่างพนักงานและฝ่ายงานต่างๆมีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์การ ความไว้วางใจกันและการร่วมมือกันจะเกิดขึ้นได้โดยการสร้างให้เกิดค่านิยม (Values) ในการอยู่ร่วมกันเพื่อการมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน ไม่ใช่การใช้กฎระเบียบและการติดตามควบคุม แต่เป็นการ ซึ่งการสร้างบรรยากาศการทำงานที่มีความโปร่งใส ยุติธรรม และการเอื้อให้เกิดการเปิดรับฟังซึ่งกันและกัน เมื่อใดที่พนักงานมีความคับข้องใจสามารถพูดคุยกันได้ และสามารถสร้างความเข้าใจระหว่างกันได้

ดังนั้น งานที่สำคัญของฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ คือ การสร้างวัฒนธรรมและค่านิยมขององค์การ (Organizational Culture and Values) ที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกันและมีความเป็นมืออาชีพที่มีคุณธรรม

3. ความสามารถในการจัดการกับความหลากหลายในองค์การ

นักทรัพยากรมนุษย์กำลังเผชิญกับความท้าทายในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในรูปแบบของความหลากหลาย (Diversity) ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายในช่วงอายุของพนักงาน (Generations) ความหลากหลายด้านเพศสภาพ (หรือที่เรียกว่ากลุ่ม LGBT) ความหลากหลายทางความคิด ประสบการณ์ ค่านิยม ความเชื่อ และ ฯลฯ นักทรัพยากรมนุษย์จะต้องเข้าใจในความต้องการที่แตกต่างกัน และออกแบบการบริหารจัดการความหลากหลายเหล่านี้ให้เป็นความสามารถในการทำงานร่วมกันได้  (Inclusion) และดึงความสามารถของแต่ละคนมาผสมผสานกันเพื่อสร้างนวัตกรรมนำไปสู่ความสำเร็จร่วมกัน

4. ความสามารถในการคิดวิเคราะห์

นักทรัพยากรมนุษย์มืออาชีพต้องมีทักษะด้านการคิดวิเคราะห์แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นของตลาดแรงงานและแสวงหาแหล่งทรัพยากรมนุษย์  เนื่องจากมีแนวโน้มว่าอาจจะขาดแคลนแรงงานในอนาคตซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดเสรีทางการค้าและการเคลื่อนย้ายแรงงาน ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ต้องมีกระบวนการสรรหาและรักษาคนที่มีความสามารถ มีการวางแผนกำลังคนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว มีการกำหนดเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพ และการวางแผนทดแทนตำแหน่ง พร้อมทั้งสามารถบริหารการเงินด้านทรัพยากรมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน

ในปัจจุบันโลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปยุคติจิตอล ทำให้มีการใช้เทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้เกิดการนำเทคโนโลยีดิจิตอล เข้ามาแทนที่การทำงานด้วยมือ ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ต้องปรับตัวอย่างยิ่งเพื่อทำให้การทำงานรวดเร็วตอบสนองธุรกิจได้ การใช้ Digital Skill ยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นเมื่อการติดต่อสื่อสารระหว่างองค์การในระดับสากลมีมากขึ้นตามกระแสโลกาภิวัตน์ ที่ต้องการความรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ ดังนั้น การนำเทคโนโลยีมาใช้จะทำให้เกิด การประเมินผลและมีหลักฐานที่บ่งชี้ด้านความสำเร็จมากยิ่งขึ้น

6. การเรียนรู้และการถ่ายทอดองค์ความรู้

นักทรัพยากรมนุษย์ต้องสามารถออกแบบการเรียนรู้และการพัฒนาพนักงานให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินธุรกิจ และพัฒนาพนักงานทุกระดับให้มีความสามารถในการทำงาน มีทัศนคติและพฤติกรรมตามค่านิยมขององค์การเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานขององค์การให้บรรลุตามเป้าหมาย  ส่งเสริมให้พนักงานมีแผนพัฒนาความรู้ความสามารถของตนเอง (Individual Development Plan) ทั้งในรูปแบบการเรียนรู้อย่างเป็นทางการ (Formal Learning) และอย่างไม่เป็นทางการ (Informal Learning) และการสนับสนุนให้พนักงานพัฒนาศักยภาพของตนเองนั้น ควรใช้แนวทาง 3 ประการ คือ การก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเองให้ได้ การเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง และยกระดับการใช้ความสามารถให้เกิดประโยชน์ต่อองค์การอย่างเต็มศักยภาพ

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เอกสารอ้างอิง

Deloitte: Predictions for 2016: A Bold New World of Talent, Learning, Leadership, and HR Technology Ahead

Tag:
No items found.
Share this post:
ดร.ศิริลักษณ์ เมฆสังข์

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024