ความแตกต่างระหว่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) กับระบบประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่และการเรียนรู้ของ IBM
ระบบประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีการเรียนรู้ของ IBM หมายถึงเครื่องที่สามารถที่จะเข้าใจ ให้เหตุผล และสามารถเรียนรู้ ได้จากข้อมูล อาจจะเป็นในเรื่องภาษา บทเรียน การจับใจความ ข้อมูลที่ป้อนเข้าไป จะไม่หยุดที่จะเรียนรู้ แต่การใช้งานของระบบประมวลผลและชนิดของงานในปัจจุบันแตกต่างกันมากขึ้น มีข้อมูลมากขึ้นและต้องเรียนรู้มากขึ้น
เมื่อ 10-15 ปีที่แล้วนั้น เราต้องเข้าใจรหัสคอมพิวเตอร์ แต่ปัจจุบันนี้มีเครื่องมือต่างๆ มากมาย ที่ช่วยให้สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ง่ายมากขึ้น เช่นการ drag and drop ระบบคอมพิวเตอร์ประมวลผลนั้น ก็เปรียบเสมือนการสื่อสารของมนุษย์ การป้อนข้อมูลให้กับคอมพิวเตอร์ เหมือนกับการพูดแล้วได้รับการตอบกลับ
โปรแกรม IBM Watson ถูกนำมาใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม ประเทศอย่างสิงค์โปร์และที่ลอนดอนมีการใช้ข้อมูลจากศูนย์รักษาโรคมะเร็งที่นิวยอร์ก (New York Cancer Center) โดยการป้อนข้อมูลทั้งหมดลงไปที่ IBM Watson ก็จะดึงข้อมูลของประวัติผู้ป่วยแต่ละรายจาก Memorial Sloan-Kettering (MSK) ศูนย์รักษามะเร็งชั้นนำของโลก มาวิเคราะห์ รวมถึงหลักฐานทางการแพทย์ เอกสารทางวิชาการ พร้อมรับข้อแนะนำในการดูแลรักษาผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งสามารถประมวลผลย้อนหลังได้กว่า 5 ปี
Communications Technology
บทบาท HR กับสิ่งที่เกิดขึ้นคือ วามคาดหวังของคนมีคมากยิ่งขึ้น ลูกจ้างคาดหวังถึงสิ่งที่จะได้รับการรับบริการจากองค์กร 49% ในเรื่องของค่าตอบแทนและผลประโยชน์ กับอีก 48% ในเรื่องของทักษะการทำงานและ Transformation คือ สิ่งที่ผู้นำเชื่อว่า HR จะสามารถใช้ประโยชน์ได้จากเทคโนโลยี
iBM มีระบบสื่อสารภายในองค์กร การสื่อสารที่มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ โดยสามารถสื่อสารโต้ตอบไปมาได้ในทัน (2-way communication) ซึ่งระบบจะเหมือนกับการเอา linkedin, twitter, facebook มารวมกัน พนักงานสามารถตั้งกลุ่มคุยกัน สามารถโพสต์ข้อความต่างๆ ลงไปได้
กรณีตัวอย่างพนักงานคนหนึ่งได้ลงข้อความลงไปที่กล่องข้อความของบริษัทเกี่ยวกับนโยบายการใช้งานรถแท็กซี่ เขาลงข้อความไปทั่วบริษัท และใส่เหตุผลต่างๆ ลงไปในกระทู้ได้อย่างสมเหตุสมผล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าประกัน, ใบเสร็จที่ไม่ได้รับในทันที จากนั้นก็มีความเห็นต่างๆ จากพนักงานตามมาในกระทู้นั้น เมื่อรองประธานทรัพยากรมนุษย์อาวุโส (Senior VP HR) ได้รับข้อความจากกระทู้นี้ และได้พิจารณาดูข้อความที่ตอบโต้ไปมาว่าสมเหตุสมผล ภายในหนึ่งวันถัดมา ก็ได้นำเรื่องนี้เสนอต่อที่คณะกรรมการ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติในการเปลี่ยนนโยบายการใช้รถแท็กซี่สำหรับใช้ในบริษัททั่วโลก หลังจากนั้นสองวันบริษัทฯ ได้ดำเนินการเปลี่ยนนโยบายเกี่ยวกับการใช้รถแท็กซี่ทั่วโลก แสดงให้เห็นถึงการดำเนินการอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นเพราะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันระหว่างพนักงานด้วยกันเอง นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งเมื่อมีการขอความคิดเห็น และได้รับการตอบกลับจากพนักงาน เพื่อนำไปสู่การดำเนินการได้ นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีช่วยให้ได้ยินได้รับรู้ว่าพนักงานมีความคิดเห็นอย่างไร
สำหรับการปฏิรูปของ HR แล้วเราพยายามเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างให้ตรงตามความต้องการของพนักงาน กระทั่งในปี 2016 การปฏิรูปของ IBM นั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก มากจนกระทั่งระบบประเมินผลงานไม่สามารถเข้ากับการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ ก่อนหน้านั้นต้องบอกว่า เราทำระบบประเมินผลมาตรฐานหนึ่งครั้งต่อปี เป็นแบบ Bell curve โดยมีการแบ่งออกเป็น 4 ส่วน และเพราะการแบ่งออกเป็น 4 ส่วนนี่เอง ที่ทำให้การประเมินผลแทบจะมองไม่ออก แม้จะทำงานได้ดีกว่าหรือแย่กว่าเพื่อนร่วมงาน แต่ก็ยังได้รับการประเมินให้อยู่ในอัตราเดียวกัน ผลการประเมินไม่เป็นไปตามการทำงานที่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงเกิดความที่ว่าจะทุ่มเททำไปทำไม เพราะท้ายที่สุดก็ถูกประเมินอยู่ในกลุ่ม 80% ดังนั้นสิ่งนี้ไม่ได้ช่วยสร้างพฤติกรรมการประเมินผลงานที่ดี ในขณะที่กระบวนการปฏิรูปต่างๆ นั้นกำลังดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่ IBM ได้ปรับไปเป็นระบบคอมพิวเตอร์แบบ Cloud ที่นำมาซึ่งการปฏิบัติการณ์อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราจึงต้องปรับเปลี่ยน แต่การประเมินผลที่ไม่ได้ล้อไปกับผลงานเพียงหนึ่งครั้งต่อปีไม่ได้ช่วยอะไรเลย
> เราจะทำให้ระบบจัดการประเมิลผลงานนั้นเป็นไปด้วยความโปร่งใสได้อย่างไร
> เราจะทำให้ระบบประเมินผลตามความเป็นจริงได้อย่างไร
> เราจะทำการประเมินผลบ่อยๆ ได้อย่างไร เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมด้านการประเมินผลงานได้เร็วยิ่งขึ้น
HR จึงได้หารือกันว่า วิธีไหนถึงจะดี และจึงได้ใช้วิธีการแบบโซเชียลอีกครั้ง โดยการขอความคิดเห็นจากพนักงานให้บอกกับเราว่าสิ่งใด กระบวนการใดที่พนักงานคิดว่าจะใช้การได้ดี
Diaan ได้เริ่มต้นกระทู้อีกครั้ง เราจะทำระบบการประเมินผลให้ดีกว่านี้ได้อย่างไร และมีคำถามอื่นๆ อีกหลายคำถาม และภายใน 2 เดือน เราได้รับความคิดเห็นมากมาย พนักงานกว่า 70,000 คน ร่วมแสดงความคิดเห็นเข้ามา ดูเหมือนว่าพนักงานมีความเห็นว่าไม่ควรทำการประเมินผลงานเพียงหนึ่งครั้งต่อปี เพราะการประเมินผลงานเพียงหนึ่งครั้งต่อปี มันจะสะท้อนถึงความเป็นจริงได้อย่างไร พนักงานแสดงความเห็นว่าอย่างน้อยที่สุดควรทำทุก 3 เดือน หรือ 4 ครั้งต่อปี และจะดียิ่งกว่าถ้าได้ทำบ่อยยิ่งขึ้น เช่น ทุกเดือน ซึ่งคุณสามารถกำหนดเป้าหมายได้ คุณควรอัพเดทเป้าหมาย ตามที่ DOO ได้มอบหมายมา ไม่ใช่ว่าประเมินผลหนึ่งครั้งต่อปี แล้วคุณพยายามนึกว่าคุณได้อะไรไปบ้าง แต่ท้ายสุดกลับกลายเป็นว่าคุณไม่ได้ใช้ความพยายาม
ทำไมไม่ขอให้พนักงานตั้งเป้าหมายตามโครงการ??? เราควรจะกำหนดเป้าหมายบ่อยแค่ไหน เช่น เป็นรายเดือน หรือทุก 3 เดือน หรือ ตามโครงการที่ได้รับมอบหมาย
เราควรจะทำเอกสารสะท้อนความคิดเห็นกลับมาบ่อยแค่ไหน ซึ่งจะหมายถึงผู้จัดการควรจะได้พบปะพูดคุยกับผู้ใต้บังคับบัญชาเดี่ยวกับความคืบหน้าของเป้าหมายบ่อยแค่ไหน ผู้จัดการและผู้ใต้บังคับบัญชาควรจะได้พบพูดคุยกับตามตารางที่กำหนดไว้ เช่น ทุก 3 เดือน และมีการทำเอกสารเกี่ยวกับความคิดเห็นต่างๆ เก็บเอาไว้ด้วย
วิธีการใดที่ดีที่สุดในการที่ IBM จะได้มาซึ่งความคิดเห็นสะท้อนกลับมานั้น ก็คือการทำอย่างต่อเนื่อง คราวนี้มาถึงเรื่องของเอกสาร เราควรมีเอกสารปริมาณเท่าไหร่ มันใช้เวลามากทีเดียวเกี่ยวกับปริมาณของเอกสาร เนื่องจากเราไม่ได้ต้องทำเป็น Bell curve แล้ว มันควรจะเป็นเอกสารรูปแบบสั้นๆ จำกัดจำนวนเอกสารไว้ ตราบเท่าที่พนักงานเข้าใจดีว่าพวกเขากำลังทำอะไร
ดังนั้นเราจึงได้ทำเป็นการเช็คเป็นข้อๆ ออกมา (check point) และด้วยการเช็คเป็นข้อๆ นี้เอง ที่ผู้ใต้บังคับบัญชากับผู้จัดการต้องคุยกันทุกๆ 3 เดือนเป็นอย่างน้อย เรามีการให้คะแนนแต่ละหัวข้อเป็น 1, 2, 2+, 3
เราได้แบ่งออกมาเป็น 5 มิติ และในแต่ละมิติ พนักงานอาจได้รับการประเมินว่า ทำได้สำเร็จตามเป้าหมาย, ทำได้เกินเป้าหมาย, ทำได้ยอดเยี่ยม เราได้ทำออกมา 5 มิติ เนื่องจากดูถึงแง่มุมการดูแลเอาใจใส่ลูกค้า ทักษะของพนักงาน และความรับผิดชอบ
อีกเหตุผลหนึ่งที่เราออกแบบการประเมินออกมาเป็น 5 มิติ เนื่องจาก check point แต่ละข้อๆ จะไม่มีการดูย้อนหลัง เหมือนกับการประเมินผลทั่วๆ ไป ที่มองย้อนหลังไปที่เมื่อปีที่ผ่านมา พนักงานได้ทำอะไร check point ต้องเป็นอะไรที่มองไปข้างหน้า ใน 5 มิตินี้ พนักงานจะถูกมองว่า คุณจะสามารถทำอะไรให้ดีได้มากกว่าเดิม คุณจะสามารถทำให้มันดียิ่งขึ้นได้อย่างไร พนักงานทุกคนควรจะมีการยกระดับใน 5 มิตินี้ เช่น มีความรับผิดชอบต่อสมาชิกในทีม ดูแลเอาใจใส่ลูกค้า ที่ IBM เราได้มีการถามพนักงานด้วยว่าเราควรตั้งชื่อระบบประเมินผลงานนี้ว่าอย่างไร ซึ่งมีให้เลือกตั้งแต่ check point, touch point, check in
ยกตัวอย่างสำหรับข้อประเมินแบบ 5 มิติของ IBM เช่นดูถึงความสำเร็จของลูกค้า, พนักงานมีการพัฒนาตัวเอง คือได้มีการทำอะไรเพื่อให้มีทักษะเพิ่มขึ้น หรือทักษะใหม่ ๆ อย่างไร เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ดูเหมือนว่า IBM พยายามที่จะเพิ่มยกประสบการณ์ให้กับพนักงานในการทำระบบให้เรียบง่ายขึ้น มันดูเหมือนกับยืดหยุ่นแต่ก็ยังมีความซับซ้อน เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้นั้น IBM มีเหตุผลอันใด ?
เหตุผลก็คือ ทุกสิ่งควรจะมีการลดปริมาณลง เราต้องการทำให้ทุกอย่างนั้นมีความเรียบง่าย เราได้ทะลายการให้คะแนนประเมินผลแบบเก่า ที่เคยเป็นแค่ 1, 2, 3 แต่ปัจจุบันใน 1 นั้น ยังมีอีก 5 สิ่งข้างในที่ต้องดู เราต้องการความกระจ่างชัด เราพยายามทำให้ระบบนั้นโปร่งใส ที่ผ่าน ๆ มา พนักงานไม่ได้มีความเชื่อถือในการประเมินแบบเดิม อย่างที่บอกว่าการประเมินที่ได้ไม่ได้สะท้อนถึงเขา แต่ด้วยระบบปัจจุบันพนักงานจะรู้ว่าคะแนนที่ได้นั้น คือคะแนนของพนักงาน ตามที่พนักงานเป็น