อย่างไรก็ตาม คุณอภิรัตน์ หวานชะเอม Head of True X จาก True Digital Group ได้ชี้ให้เห็นว่า แท้จริงแล้ว แนวคิดที่ว่า A.I. จะมาแทนที่คน เป็นเพียงภาพลวงตาที่อาจทำให้เราพลาดโอกาสสำคัญในการร่วมมือกันระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยี เพราะในโลกการทำงานยุคใหม่ คำถามสำคัญไม่ใช่ว่า “ใครจะอยู่ ใครจะไป” หากแต่คือ “เราจะเดินไปด้วยกันได้อย่างไร”
หัวใจของการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตอยู่ที่แนวคิด A.I. adoption must be inclusive, purposeful & empowering การใช้ A.I. ต้องครอบคลุม เข้าถึงได้ทุกคน มีเป้าหมายที่ชัดเจน และเสริมพลังให้กับคนทำงานทุกระดับ โดยไม่ปล่อยให้ใครหลุดออกจากภาพใหญ่ของการพัฒนา
A.I. ไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อแทนที่มนุษย์ แต่เพื่อ “ร่วมสร้างนิยามใหม่ของการทำงาน” เสริมศักยภาพในการคิด วิเคราะห์ ตัดสินใจ และสร้างคุณค่าในรูปแบบที่มนุษย์เพียงลำพังอาจไปไม่ถึง
ในโลกที่ทุกอย่างเปลี่ยนเร็ว การนำ A.I. มาใช้จึงควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของเป้าหมายที่ชัดเจน การออกแบบที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง และแนวคิดที่มุ่งเสริมพลังให้คนสามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้น ไม่ใช่น้อยลง
Human.AI Superpower: พลังร่วมระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยี ที่มากกว่าการทำงานคนเดียว
คุณอภิรัตน์ หวานชะเอม เสนอแนวคิด “Human.AI” ที่มองว่า A.I. ไม่ใช่ผู้มาแทนที่ แต่คือเพื่อนร่วมทีมที่ทำงานเคียงข้างมนุษย์ โดยให้มนุษย์ซึ่งมีวิจารณญาณและจริยธรรมเป็นผู้นำทาง (conductor) ส่วน A.I. รับบทผู้ประมวลข้อมูลที่ซับซ้อนด้วยความเร็วและแม่นยำ การทำงานร่วมกันจึงก่อให้เกิดพลังเหนือขีดจำกัดที่ไม่มีฝ่ายใดทำได้เพียงลำพัง
องค์กรและ HR จำเป็นต้องเข้าใจจุดแข็งระหว่างคนกับ A.I. เพื่อพัฒนาทักษะได้ตรงจุด โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ยุค Agentic A.I. ที่ผสานทั้งความสามารถในการคาดการณ์ (Predictive) และสร้างสรรค์ (Generative) อย่างมีประสิทธิภาพ A.I. ต้องเรียนรู้ ‘How’ และ ‘What’ ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่มนุษย์ต้องโฟกัสกับ ‘Why’ และ ‘When’ เพื่อชี้นำทิศทางและตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณ
Human.AI Framework
คุณอภิรัตน์ หวานชะเอม ยังได้เสนอกรอบแนวคิด Human.AI Framework ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอนสำคัญ ที่ช่วยให้องค์กรสามารถนำ A.I. มาใช้ร่วมกับมนุษย์ได้อย่างมีเป้าหมาย ครอบคลุม และส่งเสริมศักยภาพของคนให้ก้าวล้ำยิ่งกว่าเดิม
เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจลักษณะของงาน เพื่อระบุว่า A.I. จะเข้ามาสนับสนุนตรงจุดใด โดยใช้เทมเพลต Human.AI Design Pattern แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
– Pure Execution งานที่มีโครงสร้างชัดเจน ทำซ้ำได้ สามารถเพิ่ม A.I. เพื่อเร่งประสิทธิภาพได้ทันที
– Super-Why งานที่ A.I. ร่วมวางแผนและวิเคราะห์ได้ แต่ต้องพึ่งมนุษย์ในการตัดสินใจ
– Creator งานที่ต้องอาศัยวิสัยทัศน์และความคิดสร้างสรรค์จากมนุษย์ โดยมี A.I. เป็นผู้ช่วยสนับสนุน
ปรับมุมมองใหม่ต่อบทบาทของงาน ระบุขอบเขตทักษะที่จำเป็น และที่สำคัญคือต้องปรับมายเซ็ตให้เชื่อมั่นในความสามารถของทั้งคนและ A.I. เพราะเป้าหมายไม่ใช่การลดบทบาทมนุษย์ แต่คือการเสริมศักยภาพให้ทำงานได้ดีขึ้นในโลกที่เปลี่ยนไป
เมื่อองค์กรขยับจากระบบงานแบบยึดตำแหน่ง (role-based) มาสู่การขับเคลื่อนด้วยทักษะ (skill-based) จึงถึงเวลาต้องปรับ Job Description ใหม่ ให้สะท้อนทั้ง soft skills และ hard skills ที่จำเป็น เพื่อให้สามารถสรรหาคนที่ตอบโจทย์การทำงานได้อย่างแท้จริง
ท้ายที่สุด คุณอภิรัตน์ได้กล่าวในฐานะนักเทคโนโลยีว่า การสร้างระบบการทำงานที่เป็นมิตรและครอบคลุมทุกกลุ่มคน คือความรับผิดชอบร่วมของผู้นำองค์กร เพื่อให้ทุกคนสามารถเติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยี และยังคงรักษาแรงบันดาลใจในการทำงานไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยม เพราะนี่คือวิธีการสร้างองค์กรที่มีคุณค่าอย่างยั่งยืนในโลกอนาคต