รวมถึงได้รับรางวัลนักบริหารทรัพยากรบุคคลเกียรติยศ เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีของสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดระดับประเทศและมีเพียงรางวัลเดียวแสดงให้เห็นว่าคุณพารณ เป็นผู้ที่มีความทุ่มเทอุทิศกำลังกาย กำลังใจ เพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง โดยไม่เหน็ดเหนื่อยคุณพารณได้ทำงานกับภาคเอกชนและช่วยทำงานให้กับภาครัฐในหลายกระทรวงมาโดยตลอดจนได้นั่งในตำแหน่งระดับสูงอย่างผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCG และในระหว่างที่ได้ทำงานที่นั่น คุณพารณได้มีโอกาสดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการบุคคลกลางดูแลรับผิดชอบการบริหารงานร่วมของการบุคคลของบริษัทในเครือ ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) เมื่อระยะเวลาผ่านไปคุณพารณได้เกิดความเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า “พนักงานเป็นสมบัติอันมีค่าที่สุดขององค์กร” จึงได้มุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ มาโดยตลอด
นอกจากการนำพาองค์กรก้าวเข้าสู่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างเป็นระบบที่ทันสมัยแล้วคุณพารณยังมีบทบาททางการเมือง โดยได้รับแต่งตั้งเป็นวุฒิสมาชิก สภาปฏิรูปแห่งชาติ และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติอีกด้วย ยังไม่นับรวมภายหลังชีวิตเกษียณอายุจาก SCG ที่อุทิศเวลาที่เป็นประโยชน์ให้แก่สถาบัน มูลนิธิ สมาคมอีกหลายแห่ง
คุณพารณ มีความเชื่อว่าเด็กไทยเป็นสมบัติอันมีค่าที่สุดของประเทศดังนั้นชีวิตในบั้นปลายจึงอยากพัฒนาเด็กไทยให้เป็นคนดีและเก่งเป็นพลเมืองโลกและเป็นพลเมืองไทยไว้ในคนคนเดียวกันที่รักษาความเป็นไทยไว้ได้รวมถึงสามารถพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาประเทศที่เจริญและที่พัฒนาแล้วได้ต่อไปในอนาคต
คุณพารณได้กล่าวด้วยความภูมิใจว่า "ปัจจุบันผมเป็นผู้อำนวยการใหญ่ ดรุณสิกขาลัย โรงเรียนนวัตกรรมแห่งการเรียนรู้ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีมีการดำเนินงานที่มุ่งพัฒนาการศึกษาโดยนำแนวคิด Constructionismจากตัวอย่าง The Media Lab of MIT มาใช้เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กมีการสร้างองค์ความรู้ขึ้นได้ด้วยตนเอง คือ การสอนให้คิดเป็นทำเป็น โดยมีการเรียนรู้ทักษะภาษาควบคู่ด้วย ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษซึ่งได้ดำเนินงานมาเป็นเวลากว่า 16 ปีแล้ว มีผลสัมฤทธิ์เป็นที่น่าพอใจ รวมถึงได้ขยายงานพัฒนาโรงเรียนต่างๆราว 10แห่งและวิทยาลัยอาชีวะมาบตาพุด จังหวัดระยอง อีก 1 แห่ง เพื่อพัฒนาเป็นสถานศึกษาตัวอย่างในการปฏิรูประบบการศึกษาไทยตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542"และเป็นวิทยาลัยอาชีวะทวิภาคีตัวอย่างที่สามารถให้วิทยาลัยอื่นๆ นำไปใช้ได้อีกด้วย
คุณพารณได้เล่าถึงการขยายผลการเรียนรู้แบบ Constructionism ที่ได้มีการนำไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียนในกลุ่มอาชีวศึกษาที่วิทยาลัยเทคนิคมาบตาพุดจังหวัดระยอง จนเป็นวิทยาลัยอาชีวะทวิภาคี ที่วิทยาลัยอาชีวะอื่นๆนำมาใช้เป็นตัวอย่าง
“อาชีวะมาบตาพุดเป็นทวิภาคีโดยมี 6 บริษัทเข้ามาร่วมพัฒนา ปวส.ก่อน ที่แรกที่ไปคือ อาชีวะระยองมีนักศึกษาประมาณกว่าพันคน เขาไม่สนใจเลยผมก็เลยไปถามดูมีอาชีวะมาบตาพุดนักเรียนไม่กี่ร้อยคน ก็ไปเอาวิทยาลัยเล็กดีกว่าตามที่ในหลวงมีรับสั่ง ผมก็ไปบอกว่าจะสร้างปวส. ที่ทำงานได้เลยทันทีโดยเรียนในวิทยาลัยอาชีวะครึ่งปีตามหลักสูตรอาชีวะเป็นแกนนำผลักดันหลักสูตรที่ชักนำโดยอุตสาหกรรมปิโตรเคมีส่วนอีกครึ่งปี ไปทำงานในโรงงานจริงๆ และกลับมาเรียนครึ่งปี ไปทำงานอีกครึ่งปีเสร็จแล้วเข้าทำงานได้เลย ก็เป็นโรงเรียนำร่อง ที่ตอนนี้ใครๆ ก็มาเอาอย่างโรงเรียนประจำนี้มีไม่มีโอกาสไปตีรันฟันแทง หรือชกต่อยกับอาชีวะอื่นเพราะอยู่ประจำเสียแล้ว และโรงเรียนนี้อยู่นอกเมืองระยองอยู่ในเชิงเขาไม่มีโอกาสออกไปข้างนอกไปตีรันฟันแทงกับใคร และเด็กที่นี่พอจบ ปวส.ก็ได้เงินเดือน 15,000 บาท เพราะมีบริษัทต้องการความมีวินัยและมีความ Safety Conscious สูงถ้ามีกลิ่นแก๊สเมื่อไหร่ต้องรีบบอกเจ้าหน้าที่ทันทีให้หาว่าอยู่ที่ไหนเพราะมีโอกาสเกิดไฟไหม้ขึ้นได้ ต้อง Highly Responsible คือ มีวินัยสูงมาก เพราะฉะนั้นกระทรวงศึกษาธิการจึงให้โรงเรียนอาชีวะมาบตาพุดนี้เป็นโรงเรียนนำร่องที่โรงเรียนอื่นนำไปเป็นแบบอย่าง เพราะว่าเด็กอาชีวะจบไปรุ่นหนึ่งด้วยรางวัลชนะเลิศการประกวดเครือข่ายการบริหารจัดการทรัพยากรทั้งชุมชนตามแนวพระราชดำริรุ่นแรกมีประสบการณ์แล้ว 3 ปี ตอนนี้ได้เงินเดือนถึง 25,000 บาท รวมทั้งเข้ากะด้วยและทำงานล่วงเวลาด้วย ได้ถึง 50,000 บาทถ้าจบใหม่ทำงานได้เลยทันทีได้เงินเดือนเดือนละ 15,000 บาท ถ้าเข้ากะด้วยทำงานล่วงเวลาด้วย ได้ถึง 30,000 บาท ต่อเดือน”
จะเห็นได้ว่าในการบูรณาการการเรียนการสอนจากประสบการณ์จริง โดยใช้ Project Based Learningจะทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และมีประสบการณ์ในการทำงานเพื่อนำไปใช้ต่อยอดในอนาคตได้อย่างแท้จริง
และเมื่อคุณพารณ อายุครบ 72 ปี ได้มีโอกาสเข้ารับพระราชทานน้ำสังข์จากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) ในฐานะที่เป็นกุลเชษฐ์อิศรเสนา คือ เป็น ชายที่มีอาวุโสสูงสุดในราชสกุลอิศรเสนา ณ อยุธยาคุณพารณได้แบ่งปันเรื่องราวสุดประทับใจในพระเมตตาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ (รัชกาลที่ 9) ให้ฟังว่า
"พระองค์ท่านทรงมีพระเมตตาให้เข้าเฝ้ารับพระราชทานน้ำสังข์ และได้มีรับสั่งถามผมว่าเกษียณอายุแล้วทำอะไร?ผมก็กราบบังคมทูลท่านว่า ผมนำเอา Constructionism Technology จาก The Media Lab of MIT มาพัฒนาคนไทยให้มีทางอยู่ได้อย่างชาวโลกยุคโลกาภิวัฒน์ท่านก็ทรงรับสั่งให้ฟังว่าการเอาเทคโนโลยีที่ทำสำเร็จจากต่างประเทศเข้ามาในเมืองไทยนั้นพระองค์ท่านได้นำเข้ามาด้วยราคาแพงมากๆ หลายเรื่อง แล้วนำเข้ามาใช้ในเมืองไทยบางเรื่องไม่มีผลสัมฤทธิ์เท่าที่ควร พระองค์ท่านได้มาดัดแปลงให้เข้ากับภูมิสังคมไทยแล้วถึงได้ผลในหลายแห่ง"
คุณพารณได้ย้ำอีกครั้งว่า"ผมก็ได้ปัญญามาเรื่องหนึ่ง ว่าจะเอาความรู้มากจากต่างประเทศเข้ามาในเมืองไทยจะต้องนำมาปรับให้เข้ากับภูมิสังคมของเมืองไทย ถ้าทำในภาคเหนือก็ต้องปรับให้เข้ากับภูมิสังคมในภาคเหนือหากนำไปใช้ในภาคอีสานก็ต้องปรับให้เข้ากับภูมิสังคมในภาคอีสานทำภาคใต้ก็ปรับให้เข้ากับภูมิสังคมในภาคใต้ จึงไม่ใช่เพียงของไทยอย่างเดียวแต่ต้องปรับให้เข้ากับแต่ละภูมิภาคด้วย"
จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯคุณพารณจึงได้นำมาเป็นแนวทางในการนำความรู้และแนวคิดจากต่างประเทศที่สามารถก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติบนพื้นฐานของการพิจารณาถึงภูมิสังคมไทยในแต่ละพื้นที่ให้สามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมที่สุด
นอกจากนี้คุณพารณยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวคิดในการทำงานต่างๆที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีรับสั่ง ซึ่งต้องเริ่มต้นจากการพิจารณา หรือการคิดในจุดเล็กๆเป็นอันดับแรกว่า
"ท่านมีรับสั่งว่าประสบการณ์ของพระองค์ท่านนั้นจะไม่คิดใหญ่ ให้คิดเล็กก่อน เพราะว่าหากคิดใหญ่ทำใหญ่ถ้าที่ไหนมีปัญหาข่าวร้ายจะกระจายไปเร็ว ก็จะไม่ได้ผล ก็จะล้มไป ถ้าทำเล็กๆ ก่อนเกิดปัญหาขึ้นก็แก้ปัญหาได้ง่าย และทำให้ผลสัมฤทธิ์เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าผลสัมฤทธิ์จะสร้างศรัทธาให้คนอื่นมาทำตาม"
จากปัญญาทั้งสองเรื่องที่คุณพารณได้รับจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯคือ การคำนึงถึงภูมิสังคมไทยต้องมีการปรับและดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพสังคมของแต่ละพื้นที่และการคิดและเริ่มต้นจากสิ่งเล็กก่อน คุณพารณได้นำปัญญาทั้งสองเรื่องดังกล่าวมาใช้เป็นพื้นฐานในการตั้งโรงเรียนดรุณสิกขาลัยและขยายผลไปสู่ทุกภาคสังคมเเละยังพัฒนาโครงการแก้มลิงและนำเศรษฐกิจพอเพียงไปเผยแพร่ที่ชุมชนบ้านลิ่มทอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ทำให้ชาวนาที่เคยยากจนมีหนี้สินล้นพ้นตัว ได้กลายเป็นผู้นำความคิดของชุมชนในที่สุดในการพัฒนาความรู้สู่งสังคม คุณพารณได้ยกกรณีตัวอย่างการของน้าน้อย (นางสนิท ทิพย์) ซึ่งเป็นการพัฒนาคนในชุมชนที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวให้หมดหนี้สินใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ที่เกิดผลสัมฤทธิ์และประสบความสำเร็จ
"ผมลองไปทำกับโรงเรียนของทางราชการหลายแห่งพอเปลี่ยนอาจารย์ใหญ่ทีไรก็ถอยกลับไปอย่างเก่าไปทุกที ผมคิดว่าเสียเวลาเปล่าผมเลยมาตั้งโรงเรียนสร้างโรงเรียนดรุณสิกขาลัยขึ้นมาแล้วขยายผลไปได้ทุกภาคส่วนของสังคม ตั้งแต่น้าน้อยชาวนาผู้ยากจน หนี้ล้นพ้นตัวจนเดี๋ยวนี้หมดหนี้สินแล้ว แต่เดิมไม่มีฐานะทางสังคมเลย สามีกินเหล้าเมียประชดเล่นไพ่ เราเข้าไป ก็ให้น้าน้อยเริ่มทำบัญชีครัวเรือนว่าอันไหนจำเป็นอันไหนไม่จำเป็น น้าน้อยก็ดี พยายามทำตัวให้ดีขึ้นจนได้รับปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานให้น้าน้อยจากพระหัตถ์ของพระองค์ท่านที่พระราชวังไกลกังวล"
นอกจากนี้ คุณพารณได้พัฒนาโครงการพลิกฟื้นผืนป่าที่เสื่อมโทรมให้เป็นแหล่งอาหาร ต้นน้ำ และเป็นแหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าในชุมชนจนกระทั่งกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่ชุมชนบ้านสามขา จ.ลำปางจนได้รับรางวัลเศรษฐกิจพอเพียงในเวลาต่อมาด้วยชาวบ้านล้วนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเป็นการขยายผลการเรียนรู้แบบ Constructionism สู่ภาคสังคมอย่างน่าสนใจ คือ หมู่บ้านสามขา
“ชุมชนบ้านสามขาเป็นชุมชนที่หน้าแล้งไม่มีน้ำใช้ ตอนเริ่มต้นก็ไปสร้างฝายแม้วให้หมื่นฝายตอนนี้คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้น และจะไปสร้าง Constructionism Lab ขึ้นที่บ้านสามขา เด็กที่บ้านสามขาสามารถเรียนภาษาอังกฤษ Faceto Face กับเด็กในอเมริกา เด็กในญี่ปุ่น ในออสเตรเลียได้จุดเริ่มต้นของหมู่บ้านสามขา มาจากการสร้าง Constructionism Lab ที่ กศน. ลำปาง โดยส่ง ดร.สุชิน ไปอยู่ ผมไปเอาห้องสมุดของ กศน.เอาคอมพิวเตอร์ 25 เครื่องไปลง เอาครู 2 คน จากโรงเรียนต่างๆ ในภาคเหนือประมาณ 80 คน มาเข้า Micro Pro เป็นการหัดให้ใช้โปรแกรมง่ายๆก่อนลงมือทำงานให้วางแผนก่อน ถ้าไม่วางแผนไว้ก่อนมันจะเกิดปัญหายุ่งวุ่นวายปรากฎว่ากลับไปโรงเรียนแล้วเค้ากลับไปก็ทำเหมือนเดิมกันหมดเลย ทีนี่อาจารย์ศรีนวล เป็นคนเห็นว่าเรื่องนี้ดี
ก็มาบอกอาจารย์สุชินว่าเอาเรื่องนี้ไปเผยแพร่กับโรงเรียนบ้านสามขาหน่อยได้ไหมจึงได้นำเด็กที่โรงเรียนบ้านสามขามาเรียน Micro Pro ที่บ้านสามขา เมื่อเอาเด็กมา แม่ก็ต้องมา มาทำกับข้าวให้เด็กกินพ่อก็ต้องส่งลำเลียงอาหาร ผักดิบ อาหารสดมา ก็เลยมาเรียนด้วยกันที่โรงเรียนบ้านสามขาก็เลยเป็นโรงเรียนแรกที่ติดเรื่องนี้ไป ผมก็เข้าไปบ้านสามขาพบกับผู้ใหญ่บ้าน บอกว่า " จะนำปัญญามาให้ไม่มีเงินมาให้" เค้าก็เอาด้วยแต่ไปนินทาผมลับหลังว่า "เอามาทำไม ปัญญา ผมก็มีปัญญา ผมอยากได้เงิน"แต่ 10 ปี ให้หลังมาบอกว่า "คุณพารณ นำปัญญามาให้ผมดีกว่าเอาเงินมาให้อีก" เราให้เบ็ดเค้าไปตกปลา ไม่ได้ให้ปลาเค้าไปกินเค้าก็พัฒนาตัวเค้าเองไปเรื่อยๆ สร้างฝายแม้วแล้วผมก็พาเค้าไปดูโครงการหลวงที่ห้วยฮ่องไคร้ฉายหนังให้ดูตอนในหลวงไปห้วยฮ่องไคร้ตอนแรกเขาหัวโล้นหมดเลยในหลวงท่านไปปลูกป่าขึ้นมา สัตว์กลับมาหมดเลย เก้ง กวางหมูป่า สัตว์ป่าอะไรที่หายไป กลับเข้ามาหมดเลย งูเหลือมเข้ามาพอป่าอุดมสมบูรณ์งูจงอางก็เข้ามาด้วย ก็ไปดูมาบ้านป่าสักงามก็เหมือนกันในหลวงทรงตั้งโครงการพระราชดำริก็มีหลายกรมเข้ามาช่วย เข้ามาทำหลังจากที่เข้าไปดำเนินการแล้วแต่ไม่ได้เกิดอะไรที่บ้านสามขาก็เลยแปลกใจ ว่าเสียตังเปล่า เช่ารถพาชาวบ้านพาเด็กไปดู พาผู้ใหญ่ไปดูไม่เกิดอะไรขึ้น ทีนี้เกิดไฟไหม้ป่าแต่ก่อนที่บ้านสามขาจุดไฟเผาป่า เพื่อจะให้ล่าสัตว์ได้ง่าย ให้ป่าโปร่งแล้วทีนี้เกิดไฟไหม้ป่าแล้วจะไหม้โรงเรียน แต่ที่ข้างโรงเรียนมีธารน้ำไหลอยู่ปรากฎว่าเด็กไปทำฝายแม้วขึ้น พ่อแม่ก็สงสัยว่าทำอะไรเย็นแล้วไม่ยอมกลับบ้านก็เลยเอาขนมมาให้เด็กทาน ผู้หญิงก็เข้ามาช่วยทำ อาจารย์สุชินขอเงินผม 4 แสนบาท เพื่อมาทำฝายแม้วสูงขึ้นไป ปรากฎว่าปีแรกน้ำไหลลงมาฝายพังหมดเลยพอเค้าเรียนรู้ว่าต้องทำข้างบนลงมาก่อน ทีนี้ข้างบนผู้หญิงทำไม่ได้ต้องให้ผู้ชายทำผู้ชายก็คิดวันละ 150 บาท แต่มาดูแล้วว่า ตอนหมดหน้านาผู้ชายก็ต้องไปหางานทำนอกบ้าน ถ้าเค้าไม่หางานทำที่บ้านก็ไม่มีอะไรกินก็เลยจ่ายเงินให้เค้าไป เค้าก็เลยเอาหม้อข้าว เตาอะไรขึ้นไปทำข้างบนลงมาปีที่สองก็พังอีก เค้าก็เรียนรู้ว่าน้ำฝนที่ลงมาที่ฝายลำธารใหญ่อย่างเดียวไม่ยั่งยืน จำเป็นต้องทำฝายที่ลำธารเล็กๆ ที่ไหลลงสู่ลำธารใหญ่ร่วมด้วยต้องไปทำด้วย ก็เลยไปทำอีก ผลสุดท้ายตอนนี้เมื่อปีที่แล้วไปบอกว่าเสร็จแล้วฝาย 10,000 ฝาย ชาวบ้านมาช่วยด้วย คนมาเยี่ยมก็มาช่วยทำด้วย ตอนนี้บอกไม่ต้องทำฝายแล้วพอต้นไม้มันขึ้น แทนที่จะไปจุดไฟเผาป่า พอไฟไหม้ป่าก็รีบขึ้นไปดับ มันเปลี่ยน Mindset ของคน”
ตัวอย่าง : การใช้งานอาคาร Constructionism บ้านสามขาระหว่างปี 2559 กิจกรรมที่ทำมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาโอกาสทางการศึกษาของชุมชนพื้นที่ห่างไกล กลุ่มเป้าหมายของผู้ใช้อาคาร
Constructionism คือ พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของตนเอง พัฒนาทักษะอาชีพหรืออบรมองค์ความรู้ที่น่าสนใจตามความต้องการของชุมชนสำหรับการพัฒนาภาษาอังกฤษเน้นไปที่การฝึกให้นักเรียนสามารถสนทนาประโยคภาษาอังกฤษพื้นฐานได้โดยจะซักซ้อมประโยคภาษาอังกฤษเรื่องที่ตนเองสนใจและนำไปทดลองสนทนาจริงกับชาวต่างชาติผ่านทําโปรแกรม Skype ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสให้นักเรียนเรียนรู้จากสถานการณ์จริงนอกจากนั้นความแตกต่างของเพื่อนที่มาจากแต่ละประเทศ ก็คือสำเนียงภาษาอังกฤษที่แตกต่างกัน นักเรียนก็ได้ฝึกฟังสำเนียงที่หลากหลายเพิ่มขึ้นได้แก่เพื่อนจากประเทศอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เป็นต้นการอบรมสำหรับกลุ่มผู้ใหญ่เป็นเรื่องทักษะอาชีพหรือองค์ความรู้ที่ตนเองสนใจเช่น การกินเพื่อรักษาสุขภาพ การดูแลสุขภาพของตนเองได้ที่บ้าน การฝึกทักษะอาชีพ เป็นต้น ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าอาคาร Constructionism บ้านสามขาเป็นแหล่งฝึกทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 แก่คนในชุมชนทุกช่วงวัย โดยใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เนทเป็นตัวช่วยการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นการสร้างห้องเรียนที่มีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการของชุมชนได้แผนการใช้งานอาคารปี 2560
เนื่องจากปี 2560 ชุมชนบ้านสามขาได้รับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ทำให้เกิดโอกาสกับเด็กๆด้านการใช้ภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติในสถานการณ์จริง ทางผู้ประสานงานจึงได้ปรับกิจกรรมการใช้งานอาคารConstructionism เป็นการเตรียมความพร้อมของนักเรียนให้สามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้โดยการใช้คอมพิวเตอร์ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศของนักท่องเที่ยว บทสนทนาเบื้องต้นแล้วนำไปปรับให้เป็นประโยคของตัวเอง เพื่อให้สามารถเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมโดยการสื่อสารกับชาวต่างประเทศได้นอกจากนี้ยังนำนักท่องเที่ยวมาทำกิจกรรมที่อาคารการเรียนรู้เพราะมีพื้นที่กว้างทำให้เด็กๆ สามารถเข้ามาร่วมกิจกรรมได้มากขึ้น
หลังจากที่คุณพารณได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯด้วยประสบการณ์ทำงานที่มีผลสัมฤทธิ์และมีความประสงค์ที่จะจัดตั้งมูลนิธิเพื่อพัฒนาศักยภาพของชาวไทยให้สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้จึงได้ขอพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระองค์ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชทานนามว่า "มูลนิธิศึกษาพัฒน์"อีกทั้งมีรับสั่งว่าคนไทยนั้นจรรยาบรรณค่อยๆ เสื่อมลงทุกทีหากจะทำสิ่งใดให้คำนึงถึงจรรยาบรรณด้วยมูลนิธิศึกษาพัฒน์ รับสนองพระราชโองการสองเรื่องหลักคือเรื่องน้ำ ซึ่งในหลวงสนพระทัยเรื่องน้ำ และเรื่องการศึกษา ส่วนคุณพารณได้รับรับเรื่องการศึกษามาทำการพัฒนาโดยคุณพารณได้ขยายความถึงการพัฒนาด้านการศึกษาด้วยการเรียนรู้แบบ Constructionism รวมถึงการขยายผลไปยังชุมชนและทุกภาคส่วนของสังคม
“ผมรับเรื่องมาก็มาทำกับโรงเรียนของรัฐก่อน แล้วตั้งโรงเรียนดรุณสิกขาลัยขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางของการขยายผลการเรียนรู้แบบ Constructionismพัฒนาคนไทยให้สู้ได้ในยุคโลกาภิวัฒน์ เราถึงต้องสร้างเด็กก่อน โรงเรียนดรุณสิกขาลัยมุ่งสร้างเด็กไทยให้เป็นพลเมืองไทยและพลเมืองโลกด้วยคนคนเดียวกันที่รักษาวัฒนธรรมไทยไว้ได้ ขยายผลไปยังชาวนากสิกรไทย ชุมชนหมู่บ้านพัฒนาชุมชนจังหวัดลำปางรวมทั้งภาคเอกชนหลายแห่งให้เป็นนวัตกรคิดเป็น ทำเป็น ทั้งด้านการผลิต การตลาด การค้าปลีกและการค้าส่ง ตลอดจนการแพทย์ด้วย เพื่อพัฒนาศักภาพของคนไทยให้สามารถแข่งขันได้กับชาวโลกในยุคโลกาภิวัฒน์
ผมขอยกตัวอย่างในโรงพยาบาลวิชัยยุทธที่สามารถสร้างให้บุคลากรสามารถปฏิบัติงานร่วมกันอย่างเป็นกัลยาณมิตรวิชัยยุทธใช้โปรแกรมการเรียนรู้ Photo Genarismเป็นการสร้างกัลยาณมิตรระหว่างบุคลากรที่ทำงานร่วมกัน โดยการออกไปนอกสถานที่ เช่นออกไปที่อยุธยา สุพรรณบุรี อัมพวา ให้นอนร่วมกัน แล้วใช้ Cross Functional เอาพยาบาล เภสัชกร เอากายภาพบำบัด IT บัญชี CrossFunctional กันหมดเลยที่ไป แต่ก่อนทำงานไม่ประสานกัน พยาบาลก็พยาบาลแต่ก่อนพยาบาลจะมีคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่เป็นประจำ แล้วเวลาที่เสีย ก็เรียกตาม ITมาแก้ แต่พูดไม่เพราะ IT ก็บอกว่าถ้าคนนี้มาอย่าไปแก้ให้สอนให้เค้าแก้ แต่ใช้โปรแกรมนี้เข้าไปช่วยแล้ว IT ก็ช่วยเดินดูตรงไหนเสียบ้างอะไรบ้างรวมถึงการใช้หลักการ Doing the right thing, Right thing the first time เป็น Productivity improvement by learning อันนี้สำคัญมากๆเลย ทำให้ถูกตั้งแต่แรก ให้พยาบาลมาเลื่อยไม้ บัดกรีมาเย็บปักถักร้อยอะไรหลายอย่าง มาทำเซนเซอร์แสง เซนเซอร์ความร้อน เซนเซอร์เสียงพอจบวันสุดท้ายทำสำเร็จกอดกันกลมเลย ร้องไห้ใหญ่ พอถามว่าร้องไห้ทำไม เค้าบอกว่าหนูไม่เคยคิดเลยทำแต่พยาบาล จะมาเลื่อยไม้ มาทำอย่างนี้ได้ พอทำอย่างนี้สำเร็จแล้วเราเอา Learning Organization ใส่เข้าไปด้วยทำงานกันเป็นหมู่”
กล่าวโดยสรุปคือ หลักการเรียนรู้ในแบบ Constructionism มีสิ่งสำคัญ 3 ประการ คือ การฝึกให้รู้จักการวางแผนก่อนลงมือทำ การสร้างกัลยาณมิตรและการทำให้ถูกตั้งแต่แรกรวมทั้งพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้ง กาย วาจาและจิตใจ
จากเรื่องราวและตัวอย่างประสบการณ์ในการขยายผลเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทั้งในด้านการศึกษา ด้านสังคมและชุมชนรวมถึงด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในองค์การนั้นได้นำหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯมาบูรณาการในกระบวนการพัฒนาและการส่งเสริมการเรียนรู้ ทั้งในเรื่องของการนำความรู้มาใช้จะต้องคำนึงถึงภูมิสังคมที่แตกต่างกันการเริ่มพัฒนาจากจุดเล็กๆ ก่อนในวิทยาลัยเทคนิคมาบตาพุดเพื่อเป็นต้นแบบให้กับภาคส่วนอื่นๆ นำไปต่อยอดและปรับใช้การอยู่อย่างพอเพียงและการนำโครงการพระราชดำริไปใช้เป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตของน้าน้อยการส่งเสริมให้มีการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงสิ่งใดผิดพลาดหรือล้มเหลวก็ควรนำมาใช้เป็นบทเรียนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยต้นเอง และการปรับเปลี่ยนวิถีความคิด (Mind set) ของชาวบ้านในบ้านสามขา การทำงานที่มีการวางแผนควบคู่ไปกับการสร้างบรรยากาศในการทำงานที่ดีมีกัลยาณมิตรที่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันรวมถึงการทำในสิ่งที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มแรก ซึ่งเป็นเรื่องราวที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตประจำวันการพัฒนาตนเอง องค์กร สังคม และประเทศชาติให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน
ด้วยคุณูปการมากมายที่มีต่อวงการทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทยตลอดจนถึงแวดวงอื่นๆแสดงให้เห็นถึงอุดมการณ์อันแรงกล้าที่อุทิศตนเพื่อการพัฒนาสังคมไทยอย่างแท้จริงภายใต้การยึดหลักการทำงานที่เน้นคุณธรรมจริยธรรม เคารพในสถาบันหลักของชาติเล็งเห็นประโยชน์ส่วนร่วมเป็นที่ตั้ง และคุณพารณก็ยืนยันด้วยเสียงหนักแน่นว่า"จะตั้งใจทำงานไปจนกว่าจะเป็นอัลไซเมอร์หรือถึงแก่อนิจกรรม"