ดร.อัจฉรา จุ้ยเจริญ Founder & CEO แห่ง AcComm Group ได้ให้คำตอบไว้ในเวที Thailand HR Tech 2025 ว่าบทบาทของผู้นำในวันนี้ไม่ใช่แค่การ “นำ” อีกต่อไป แต่คือการ “ปลุกพลัง” ในตัวคน การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเกิดขึ้นได้ยากโดยเฉพาะในบริบทของมนุษย์ เพราะธรรมชาติของคนมักหวาดกลัวสิ่งที่มองไม่เห็น โดยเฉพาะอนาคต นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผู้นำต้องใช้ “หัวใจ” ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ด้วยการมี empathy เข้าใจทั้งพนักงาน ลูกค้า และองค์กรอย่างลึกซึ้ง และที่สำคัญ ต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น ซึ่ง ดร.อัจฉรา เรียกว่า “The New A.I.” – Artificial Intelligence with Artificial Integrity
ผู้นำแบบไหน...จึงจะตอบโจทย์การทำงานในยุคเปลี่ยนผ่าน
ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและซับซ้อน ความสามารถในการเป็นผู้นำไม่ได้วัดเพียงจากทักษะในการสั่งการหรือความสามารถเฉพาะบุคคลอีกต่อไป แต่หมายถึงความสามารถในการ “ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง” สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น และพาองค์กรไปสู่จุดหมายที่มีความหมายต่อทั้งธุรกิจและสังคม
แนวคิดเรื่องภาวะผู้นำแบบ Transformational Leadership หรือ “ภาวะผู้นำการเปลี่ยนผ่าน” จึงเป็นแนวทางที่ตอบโจทย์การทำงานในยุคนี้อย่างแท้จริง ผู้นำประเภทนี้ไม่เพียงแค่มุ่งหวังผลลัพธ์เชิงประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังใส่ใจผลกระทบต่อทีม คนรอบข้าง และสังคมในภาพรวม พวกเขาไม่ใช่เพียงผู้จัดการ แต่คือผู้จุดประกายความเปลี่ยนแปลง
หัวใจของภาวะผู้นำเชิงเปลี่ยนผ่านประกอบด้วยสี่องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่
การเป็นแบบอย่างที่ดี (Idealized Influence) ผู้นำต้องแสดงออกถึงความน่าเชื่อถือ มีหลักการ และมีพฤติกรรมที่สร้างแรงศรัทธาให้ผู้คนอยากเดินตาม โดยไม่ต้องใช้คำสั่ง
การสร้างแรงบันดาลใจผ่านการสื่อสาร (Inspirational Motivation) การสื่อสารของผู้นำต้องไม่ใช่เพียงการส่งต่อข้อมูล แต่ต้องมีพลังในการชี้เป้าหมาย ปลุกใจ และกระตุ้นให้ทีมกล้าคิด กล้าทำในสิ่งใหม่
การกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ (Intellectual Stimulation) ผู้นำควรเปิดกว้างต่อแนวคิดที่แตกต่าง ท้าทายกรอบความคิดเดิม และสนับสนุนให้เกิดนวัตกรรม แม้สิ่งนั้นจะยังไม่สมบูรณ์
การให้ความสำคัญต่อแต่ละบุคคล (Individualized Consideration) ความเข้าใจในศักยภาพและความต้องการเฉพาะตัวของแต่ละคน คือกุญแจสำคัญในการวางคนให้เหมาะกับงาน และสนับสนุนให้เขาเติบโตในทางที่ดีที่สุดของตนเอง
ในท้ายที่สุด ผู้นำที่สามารถตอบโจทย์การทำงานในยุคนี้ได้อย่างแท้จริง คือลีดเดอร์ที่ไม่เพียงแต่ปรับตัวได้ แต่ยังสามารถนำพาผู้อื่นให้เปลี่ยนผ่านไปด้วยกัน สร้างทีมที่มีพลัง และองค์กรที่พร้อมเผชิญอนาคตด้วยความมุ่งมั่นและมีเป้าหมายที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญที่ขวางกั้นผู้นำหลายคนจากการเปลี่ยนแปลงในทิศทางนี้คือ การติดอยู่กับ “Transactional Leadership” หรือการบริหารแบบเน้นเป้าหมายเป็นศูนย์กลาง ซึ่งมุ่งวัดผลด้วยรางวัลและบทลงโทษ พฤติกรรมเช่นนี้อาจสร้างผลลัพธ์ระยะสั้นได้ แต่ขาดแรงผลักจากภายใน และอาจทำลายแรงบันดาลใจของพนักงานในระยะยาว
หากต้องการเปลี่ยนผ่านไปสู่ภาวะผู้นำที่สร้างแรงจูงใจได้จริง ผู้นำควรเปิดพื้นที่ให้ทีมสามารถแสดงความคิดเห็นอย่างปลอดภัย อาจเริ่มจากการสำรวจทัศนคติ การสร้างพื้นที่ปลอดภัยในองค์กร หรือการใช้กลไกอย่าง Group-coaching system เพื่อรับฟังพนักงานอย่างลึกซึ้งในระดับรายบุคคลและรายกลุ่ม
เมื่อผู้นำสามารถเข้าใจและจุดประกายคนได้อย่างแท้จริง องค์กรจะไม่เพียงพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี แต่ยังจะสามารถ “เปลี่ยนคน” ให้พร้อมก้าวสู่อนาคตไปด้วยกันได้อย่างยั่งยืน