คราวที่แล้วผมมีโอกาสได้แนะนำท่านอาจารย์ Dave Ulrich ในแง่มุมของนักคิดนักวิชาการที่คลุกคลีกับงานวิจัยเรื่องศักยภาพของHR และองค์กรมาแล้ว สำหรับในครั้งนี้นั้นผมจะขอโอกาสแนะนำทุกท่านให้รู้จักกับคุณ Erin ที่เป็นคนที่ร่วมเขียนหนังสือชื่อดังอย่าง No Rules Rules ที่เคยสั่นสะเทือนวงการบริหารทรัพยากรบุคคลมาแล้วทั่วโลกคุณ Erin Meyer เคยฝากผลงานการบรรยายในประเทศไทยมาแล้วเมื่อปี2024 ในหัวข้อ “Context, Culture and L&D in Disruption” ซึ่งสร้างความตระหนักรู้ให้ผู้ฟังถึงบทบาทของวัฒนธรรมองค์กรในการขับเคลื่อนองค์กรท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงโดยสำหรับปี 2025 นี้ เธอจะกลับมาพร้อมเวทีที่ใหญ่ขึ้น ทั้งในรูปแบบการบรรยายและ Exclusive Masterclass เชิงปฏิบัติการที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับงานนี้โดยเฉพาะถือเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ร่วมงานจะได้ใกล้ชิดและเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติไปพร้อมกับเธอ
การมาในครั้งนี้ของErin นอกจากจะหยิบยกเอาปัจจัยที่น่าขบคิดในความต่างด้านวัฒนธรรมแล้วยังเปิดโอกาสให้พวกเราได้ลองฟังมุมมองที่ผ่านประสบการณ์การทำงานในระดับโลกที่มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจอย่างมากและนี่คือเหตุผลที่ผมขอเชิญชวนท่านผู้อ่านและท่านสมาชิกที่สนใจทุกท่านเข้าร่วมงานในครั้งนี้ครับ
เหตุผลที่ 1: เรียนรู้จากนักคิดระดับโลกด้านวัฒนธรรมและความเป็นผู้นำ
Erin Meyer คือสุดยอด Guru ระดับโลกผู้ที่จะมาแบ่งปันองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมองค์กรและภาวะผู้นำข้ามวัฒนธรรมโดยตรงให้กับคุณในแวดวงการบริหารจัดการชื่อของเธอได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ในแวดวงการศึกษาเธอเป็นศาสตราจารย์แห่งสถาบันธุรกิจชั้นนำอย่างมหาวิทยาลัย INSEAD และมุ่งวิจัยเรื่องการบริหารองค์กรให้ประสบความสำเร็จท่ามกลางความซับซ้อนหลากหลายทางวัฒนธรรมทั่วโลก ผลงานของเธอได้ช่วยแนะนำผู้บริหารนับพันคนให้เข้าใจความซับซ้อนของวัฒนธรรมข้ามชาติและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันในองค์กรมาแล้ว ด้วยความโดดเด่นด้านความคิดนี้ Erin Meyer จึงได้รับเลือกให้ติดอันดับนักคิดผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกธุรกิจถึงสองครั้งจากการจัดอันดับโดย Thinkers 50 (ปี 2018 และ 2020) และเคยติดอันดับ 30 นักคิดด้าน HR ที่ทรงอิทธิพลที่สุดประจำปีของนิตยสาร HR Magazine
เรียกได้ว่าเธอคือ หนึ่งในมันสมองชั้นนำของโลกในเรื่องการบริหารคนและวัฒนธรรมองค์กรอย่างแท้จริง
นอกจากบทบาทนักวิชาการและที่ปรึกษาให้กับองค์กรมากมายทั่วโลก Erin Meyer ยังเป็นผู้เขียนหนังสือขายดีระดับ New York Times Bestseller ถึงสองเล่ม ได้แก่ “The Culture Map” และ “No Rules Rules” ซึ่งได้กลายเป็นคู่มือสำคัญสำหรับผู้บริหารที่ต้องการยกระดับวัฒนธรรมองค์กรของตนเองงานเขียนของเธอถูกยกย่องว่าช่วยเปลี่ยนมุมมองการบริหารคนและวัฒนธรรมขององค์กรยุคใหม่ไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อฟังการบรรยายของเธอ ผู้ฟังจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับความรู้ที่อ้างอิงจากงานวิจัยและกรณีศึกษาระดับโลกผสานทั้ง แนวคิดเชิงวิชาการและประสบการณ์จริง ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริงในองค์กรของตนเอง
ที่สำคัญ Erin Meyer มีสไตล์การบรรยายที่เป็นกันเอง ชวนคิดและเต็มไปด้วยตัวอย่างที่น่าสนใจทำให้เนื้อหาที่อาจดูวิชาการกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว เข้าใจง่ายและนำไปปฏิบัติได้ทันที
เหตุผลที่ 2: ไขความลับเบื้องหลังวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรมของ Netflix (No Rules Rules)
หนึ่งในไฮไลต์ที่จะได้รับจากการฟัง Erin Meyer คือการเรียนรู้กรณีศึกษาจริงจาก Netflix บริษัท Media Streaming ระดับโลกที่พลิกโฉมอุตสาหกรรมด้วยวัฒนธรรมองค์กรสุดท้าทายกรอบความคิดเดิมๆในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Netflix ได้รับการกล่าวถึงอย่างมากในฐานะองค์กรที่ไม่มีนโยบายหยุมหยิมเหมือนบริษัททั่วไปแต่กลับสร้างผลลัพธ์ยอดเยี่ยมด้วยการให้อิสระและความรับผิดชอบสูงแก่พนักงาน และ Erin Meyer คือผู้อยู่เบื้องหลังการถอดบทเรียนความสำเร็จนี้ร่วมกับ Reed Hastings ผู้ก่อตั้ง Netflix ผ่านหนังสือชื่อดัง“No Rules Rules: Netflix and the Culture of Reinvention” ที่เธอร่วมเขียนนั่นเอง หนังสือเล่มนี้เปิดเผยปรัชญาการบริหารคนแนวใหม่ของ Netflix ที่ ให้อำนาจและความไว้วางใจแก่พนักงานอย่างเต็มที่ (freedom with responsibility) จนกลายเป็นวัฒนธรรมที่กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และความคล่องตัวในการทำงานซึ่งองค์กรทั่วโลกต่างได้รับแรงบันดาลใจและนำไปปรับใช้
ในการบรรยายครั้งนี้ Erin Meyer จะถ่ายทอด “สูตรลับ” ของวัฒนธรรม Netflix ให้ผู้ฟังเข้าใจอย่างเป็นระบบ หลักใหญ่ใจความคือ การสร้างองค์กรที่เต็มไปด้วยคนเก่งและให้พวกเขาทำงานอย่างอิสระที่สุดพร้อมกระตุ้นให้มีการแลกเปลี่ยน feedback กันอย่างเปิดเผยจนไม่จำเป็นต้องพึ่งพากฎระเบียบที่เข้มงวดเหมือนเดิม แนวคิดนี้ถูกเรียกว่า “Netflix Experiment” ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลักได้แก่:
จากแนวทางทั้งสามขั้นตอนนี้จะเห็นว่าสูตรความสำเร็จของ Netflix เน้นไปที่ “คน”มากกว่า “กระบวนการ” อย่างชัดเจนพวกเขาให้ความสำคัญกับการดึงดูดและรักษาคนที่เก่งที่สุดสนับสนุนการสื่อสารที่โปร่งใส จริงใจ และยืดหยุ่นกฎเกณฑ์ให้เท่าที่จำเป็นเท่านั้นดังที่ Erin Meyer เน้นย้ำว่า “Value people overprocess, Emphasize innovation over efficiency, Lead with context, not control”หรือให้คุณค่ากับ “คน” มากกว่า “กระบวนการ”มุ่งเน้นนวัตกรรมมากกว่าประสิทธิภาพ และชี้นำด้วยบริบทมากกว่าการบังคับควบคุม
ตัวอย่างที่Erin นำมาเล่าให้ฟังในปีที่ผ่านมาชี้ให้เห็นภาพชัดเจนว่าแนวคิดเหล่านี้สร้างความแตกต่างได้จริง เช่น เธอเล่าว่า“Great Workplace” สำหรับ Netflix ไม่ได้หมายถึงออฟฟิศสวยหรูหรืออาหารกลางวันฟรี แต่คือการที่พนักงานได้ทำงานท่ามกลางเพื่อนร่วมงานชั้นยอดต่างหาก ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมNetflix ยอมจ่ายแพงเพื่อรักษาคนเก่ง และใช้ “KeeperTest” หรือบททดสอบคัดกรองพนักงานอยู่เสมอ (ถามตัวเองว่า “ถ้าลูกทีมคนนี้จะลาออก เราจะพยายามยื้อเขาไว้หรือโล่งใจที่เขาไป?” หากรู้สึกโล่งใจ แปลว่าอาจถึงเวลาต้องเปลี่ยนคน) นอกจากนี้ Netflixยังเคยทดลองจ้างนักแสดงมารับบทพนักงานที่ผลงานแย่และมีทัศนคติลบเพื่อศึกษาผลกระทบต่อทีม และพบว่าคนๆเดียวที่พลังลบก็สามารถดึงผลงานของทั้งทีมให้ตกลงอย่างเห็นได้ชัด สิ่งนี้ยืนยันว่า“Performance is contagious” – ผลงานที่ย่ำแย่ของคนหนึ่งสามารถระบาดไปสู่คนอื่นๆได้ Netflix จึงเลือกที่จะรักษาเฉพาะคนที่ใช่ที่สุดไว้เท่านั้นเพื่อปกป้องมาตรฐานผลงานโดยรวม
ErinMeyer จะถ่ายทอดบทเรียนทั้งหมดนี้ให้กับผู้ฟังในงาน PMAT2025โดยสรุปเป็นแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้วิธีสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยืดหยุ่นคล่องตัวและกระตุ้นนวัตกรรมในแบบฉบับNetflix อย่างเป็นขั้นตอน เช่น การเพิ่ม Talent Density, การปลูกฝัง Radical Candor, การให้อิสระควบคู่กับความรับผิดชอบ(Freedom and Responsibility) และการใช้ Keeper Test คัดกรองทีม ตลอดจนตัวอย่างจริงว่าบริษัทอื่นๆก็สามารถปรับใช้แนวทางนี้ได้อย่างไร ไม่มากก็น้อย เพื่อยกระดับผลงานและความคิดสร้างสรรค์ของคนในองค์กร
เหตุผลที่3:เพิ่มพูนทักษะการทำงานข้ามวัฒนธรรมด้วยแนวคิด The CultureMap
ปัจจุบันการทำงานร่วมกับคนต่างวัฒนธรรมกลายเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานกับทีมต่างชาติการบริหารสาขาในประเทศอื่น หรือติดต่อกับลูกค้าและคู่ค้าจากทั่วโลกความท้าทายที่มักเกิดขึ้นคือ ความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่มองไม่เห็น ซึ่งอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดในการสื่อสารและการประสานงานโดยไม่รู้ตัว Erin Meyer ได้ศึกษาเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งและนำเสนอไว้ในหนังสือชื่อดังของเธอ“The Culture Map: Breaking Through the Invisible Boundaries of Global Business” ซึ่งกลั่นกรองจากงานวิจัยและประสบการณ์จริงในการทำงานกับผู้คนหลายเชื้อชาติแนวคิด Culture Map ช่วยให้เราเข้าใจว่า ความหลากหลายทางวัฒนธรรมส่งผลต่อพฤติกรรมการสื่อสาร วิธีคิด และรูปแบบการทำงานอย่างไร โดย Erin ได้นำเสนอกรอบแนวคิด8 มิติทางวัฒนธรรม (เช่นการสื่อสารแบบตรงไปตรงมาหรืออ้อมน้อม, การให้ข้อเสนอแนะเชิงลบแบบตรงหรืออ้อม,การตัดสินใจแบบรวมกลุ่มหรือจากเบื้องบน, การตรงต่อเวลาแบบยืดหยุ่นหรือเข้มงวดฯลฯ) เพื่อใช้ ทำแผนที่ เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างประเทศต่างๆและหาแนวทางปรับตัวเมื่อต้องทำงานข้ามวัฒนธรรม
ตัวอย่างง่ายๆ ที่ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของ Culture Map คือ เรื่องการวิจารณ์ในการทำงานErin อธิบายไว้อย่างน่าสนใจว่าการให้ feedback สามารถจุดชนวนความขัดแย้งระหว่างวัฒนธรรมได้โดยง่ายคนจากบางวัฒนธรรมเชื่อในการวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาและถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ช่วยให้พัฒนาขึ้นในขณะที่คนอีกวัฒนธรรมหนึ่งอาจรู้สึกถูกโจมตีและเสียหน้าจากคำติชมตรงๆ นั้น เพียงประโยคเดียวก็อาจทำให้เพื่อนร่วมงานต่างสัญชาติเกิดความไม่พอใจกันซึ่งกรณีเช่นนี้เกิดจากพื้นหลังทางวัฒนธรรมที่ต่างกันล้วน ๆไม่ใช่ความตั้งใจไม่ดีของฝ่ายใดเลย นอกจากนี้ Erin ยังยกตัวอย่างว่าในการประชุมระหว่างชาตินั้นบ่อยครั้งที่เราจะเห็นผู้เข้าร่วมจากบางประเทศพูดแสดงความคิดเห็นอย่างแข็งขันขณะที่อีกบางประเทศแทบไม่พูดอะไรเลย ทั้งหมดนี้ล้วนสะท้อนความแตกต่างด้าน สไตล์การสื่อสารและลำดับชั้นอำนาจที่ถูกหล่อหลอมโดยวัฒนธรรม เช่นวัฒนธรรมที่ให้คุณค่ากับการสื่อสารตรงไปตรงมาและความเท่าเทียมอาจส่งเสริมให้ลูกน้องแสดงความคิดเห็นโต้แย้งผู้บริหารในที่ประชุมได้อย่างอิสระแต่สำหรับวัฒนธรรมที่เคารพลำดับขั้นอย่างเคร่งครัดการแสดงความเห็นขัดแย้งต่อหน้าผู้นำอาจถูกมองว่าไม่เหมาะสม เป็นต้น
แนวคิดTheCulture Map ของ Erin Meyer จะช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้อย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพื่อชี้ว่าหนึ่งวัฒนธรรมดีกว่าอีกวัฒนธรรมแต่เพื่อสร้าง“ความฉลาดทางวัฒนธรรม” (Cultural Intelligence) ให้เราปรับตัวและทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นหนังสือของเธอได้เสนอเครื่องมืออย่าง Country Mapping Tool ที่ให้องค์กรทดลองเปรียบเทียบลักษณะภาพรวมของวัฒนธรรมระหว่างประเทศที่ต้องทำงานด้วยเพื่อเตรียมรับมือช่องว่างที่อาจเกิดขึ้น และ Corporate Culture Map สำหรับองค์กรข้ามชาติขนาดใหญ่ที่มีสาขากระจายทั่วโลกให้สามารถออกแบบวัฒนธรรมองค์กรที่สอดคล้องกับบริบทหลากหลายแต่ยังคงเป้าหมายเดียวกันได้
ในงาน PMAT2025 นี้ Erin Meyer จะจัด workshop “The Culture Map: How people think, communicate, and get things done around theworld” ซึ่งเป็น Part 2 ของ Exclusive Masterclass เธอจะลงรายละเอียดกรณีศึกษาจริงและนำผู้เข้าร่วมค้นหาคำตอบสำหรับโจทย์การทำงานข้ามวัฒนธรรมที่หลายคนสงสัยเช่น “จะใช้ประโยชน์จากทีมที่มีความหลากหลายได้อย่างไรในเมื่อสิ่งที่ถือเป็น feedback เชิงสร้างสรรค์ในวัฒนธรรมหนึ่งกลับถูกมองว่าเป็นการรุนแรงในอีกวัฒนธรรม?”หรือ “จะประชุมทีมที่กระจายอยู่หลายประเทศอย่างไรให้ทุกคนมีส่วนร่วมเมื่อบางวัฒนธรรมมองการตั้งคำถามว่าเป็นการสนับสนุนแต่บางวัฒนธรรมกลับมองว่าเป็นการท้าทาย?” workshop นี้จะสอนผู้เข้าร่วมให้ถอดรหัสความแตกต่างทางวัฒนธรรมเพื่อลดการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน และพัฒนากลยุทธ์การทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานต่างชาติได้อย่างราบรื่นกล่าวโดยสรุปก็คือ เราจะได้เรียนรู้วิธีมองโลกผ่านแผนที่วัฒนธรรมของ Erin Meyer ทำให้การทำงานในเวทีสากลไม่ใช่อุปสรรคที่น่ากังวลอีกต่อไปแต่กลายเป็นโอกาสที่จะสร้างทีมที่แข็งแกร่งและเปี่ยมด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน
เหตุผลที่4:เตรียมองค์กรและคนของคุณให้พร้อมรับความเปลี่ยนแปลง (Context,Culture and L&D in Disruption)
การบริหารคนในยุคแห่งความเปลี่ยนแปลง (Disruption) เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ Erin Meyer เชี่ยวชาญและมุ่งเน้นจากการบรรยายครั้งก่อนของเธอในปี 2024 เราได้ข้อคิดว่า ผู้นำยุคใหม่ต้องเผชิญกับ “Dilemma” หรือการตัดสินใจที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่เสมอ เช่นเราควรบอกข่าวการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่จะกระทบพนักงานล่วงหน้าดีหรือไม่ (โปร่งใส vs.รักษาเสถียรภาพทีม)หรือเมื่อมีพนักงานเสนอไอเดียใหม่ที่เราคิดว่าไม่น่าจะเวิร์กเราควรให้โอกาสลองทำดูหรือไม่ (ยอมเสี่ยงเพื่อสร้างนวัตกรรม vs. กันความผิดพลาด)รวมไปถึงคำถามที่ว่าเราควรรักษาพนักงานที่ขยันตั้งใจแต่ผลงานปานกลางไว้หรือปล่อยเขาไปดี(เห็นใจรายบุคคล vs. มาตรฐานผลงานของทีม) คำถามเหล่านี้ล้วนไม่มีคำตอบตายตัวแต่ แนวทางที่ Erin Meyer นำเสนอคือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยืดหยุ่นปรับตัวเร็ว และให้ความสำคัญกับ “บริบท” มากกว่า “การควบคุม” เพื่อช่วยให้ผู้นำตัดสินใจเรื่องยากๆได้อย่างมีประสิทธิผล
หนึ่งในหลักการสำคัญที่Erin เน้นย้ำคือ “Lead with context, not control” – ให้ข้อมูลและบริบทแก่พนักงานแทนการบังคับสั่งการอย่างละเอียดซึ่งปรัชญานี้เองที่ Netflix ใช้สร้างความคล่องตัวในการทำงานท่ามกลางความไม่แน่นอนเมื่อผู้นำเปิดเผยข้อมูลมากที่สุดและวางกรอบวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน (context) พนักงานที่มีความสามารถจะสามารถตัดสินใจเองได้อย่างมีเหตุผลโดยไม่ต้องถูกควบคุมทุกฝีก้าว(not control) ผลลัพธ์คือองค์กรที่ตอบสนองเร็วกล้าลองผิดลองถูก และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น สอดคล้องกับสิ่งที่ ReedHastings CEO ของ Netflix กล่าวไว้ว่า เมื่อเขาให้อิสระกับพนักงานมากขึ้นเขากลับพบว่า “ความอิสระไม่ได้ตรงข้ามกับความรับผิดชอบหากแต่เป็นเส้นทางที่นำไปสู่ความรับผิดชอบต่างหาก –ถ้าเราปฏิบัติกับพนักงานอย่างผู้ใหญ่ พวกเขาก็จะทำตัวเป็นผู้ใหญ่” แนวคิดนี้ชี้ให้เห็นว่าการมอบความไว้วางใจและการเปิดโอกาสให้พนักงานตัดสินใจสามารถจูงใจให้พนักงานมี Ownership และความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์มากขึ้นไม่ใช่น้อยลง
ErinMeyer อธิบายเพิ่มเติมผ่านกรณีศึกษาของ Netflix ว่า “ปัญหาคือถ้าให้อิสระพนักงานก็จะได้ความคิดสร้างสรรค์และการเติบโตแต่ถ้าไม่มีกฎองค์กรก็อาจวุ่นวาย” ทางออกคือต้องหาสมดุลที่ใช่ผ่านการทดลองแนวทางใหม่ๆซึ่ง Netflix เลือกแก้สมการนี้ด้วยการสร้างทีมที่เต็มไปด้วยคนเก่งที่ไว้ใจกันได้ (Talent Density) เปิดโอกาสให้วิจารณ์และเตือนกันตรงๆ (Candor) แล้วจึงค่อยลดกฎระเบียบลงการตัดสินใจหลายอย่างที่ดูสวนทางกับแนวปฏิบัติเดิม ๆนี้กลับให้ผลลัพธ์ที่ดีเกินคาด เช่นการสื่อสารที่โปร่งใสล่วงหน้าช่วยสร้างความเชื่อใจในทีมระยะยาวแม้ระยะสั้นอาจทำให้บางคนกังวล หรือการปล่อยให้พนักงานลองทำตามไอเดียของตนเองแม้จะเสี่ยงล้มเหลว ก็ให้บทเรียนที่มีค่ามากกว่าการสั่งห้ามตั้งแต่แรก แสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้ (L&D) ในยุคปัจจุบันเกิดขึ้นได้ดีที่สุดเมื่อองค์กรสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการลองผิดลองถูกและเปิดรับข้อผิดพลาดอย่างสร้างสรรค์
ผู้เข้าร่วมงาน PMAT2025 จะได้รับแนวคิดและเครื่องมือในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ จากประสบการณ์จริงของ Erin Meyer โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง วัฒนธรรมความโปร่งใส (Transparency) ที่ช่วยให้พนักงานพร้อมปรับตัวเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง, การสร้าง ระบบ feedback ที่ทำให้การเรียนรู้พัฒนาเกิดขึ้นต่อเนื่องในทีม,หรือการตัดสินใจด้านทรัพยากรบุคคลที่ยากลำบากอย่างมีหลักการ (เช่นแนวทาง Keeper Test ของ Netflix ในการรักษาคนเก่งและคัดคนที่ไม่สอดคล้องออก)เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ HR และ L&D ยุคใหม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อเสริมความแกร่งให้องค์กรของตนในยุคที่อะไรๆก็ไม่แน่นอนได้เป็นอย่างดีหลังจบการฟังคุณจะได้ทั้งกรอบความคิดใหม่และตัวอย่างเชิงปฏิบัติในการพัฒนาคนและวัฒนธรรมองค์กรให้พร้อมรับมือกับอนาคตไม่ว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ตาม
เหตุผลที่5:สัมผัสประสบการณ์ Masterclass สุดเอ็กซ์คลูซีฟและเครือข่ายHR ระดับนานาชาติ
การกลับมาของ Erin Meyer ในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการบรรยายธรรมดา แต่เป็น ประสบการณ์การเรียนรู้สุดexclusive แบบเต็มรูปแบบ ผู้เข้าร่วมงานจะได้ฟังทั้งปาฐกถาพิเศษ (Keynote) และร่วม Masterclass 2 ตอน ที่เธอตั้งใจออกแบบเนื้อหาให้เหมาะกับบริบทประเทศไทยโดยเฉพาะไม่มีสอนที่ไหนมาก่อน นับเป็น “first-ever Masterclass in Thailand” ของ Erin Meyer ที่หาฟังไม่ได้ง่ายๆและแน่นอนว่าเธอเตรียมเนื้อหาสดใหม่มาเพื่อผู้เข้าร่วมงานนี้โดยเฉพาะ
ใน Part1 ของ Masterclass คุณจะได้เจาะลึกกรณีศึกษา“No Rules Rules in Action” ที่จะลงรายละเอียด วิธีประยุกต์หลักการวัฒนธรรมแบบ Netflix เข้ากับองค์กรตั้งแต่การสร้างวัฒนธรรมให้หยั่งรากลงในพฤติกรรมพนักงานการสร้างทีมคนเก่งแน่นองค์กร การปลูกฝังการให้ feedback อย่างตรงไปตรงมาไปจนถึงการสร้างระบบที่ให้อิสระและความรับผิดชอบควบคู่กันอย่างได้ผล จากนั้นใน Part2 คุณจะได้ฝึกใช้ The Culture Map กับสถานการณ์จริงเพื่อแก้ปัญหาการทำงานข้ามชาติอย่างเป็นรูปธรรมเรียนรู้การนำทีมและสื่อสารในโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายเพื่อให้คุณสามารถนำ framework ของ Erin ไป ปรับใช้แก้ปัญหาการบริหารคนข้ามวัฒนธรรมในชีวิตจริงขององค์กรคุณได้ทันทีทั้งสองช่วงรวมกันเป็น ประสบการณ์การเรียนรู้ระดับ world class อย่างแท้จริง ที่คุณจะไม่ได้แค่ฟังทฤษฎีแต่จะได้ลงมือคิด ลงมือฝึก และโต้ตอบถาม-ตอบกับวิทยากรโดยตรงสงสัยตรงไหนก็ถามเธอได้ทันที ซึ่งหาโอกาสแบบนี้ไม่ได้จากการอ่านหนังสือเองแน่นอน
นอกจากเนื้อหาเข้มข้นแล้วงานนี้ยังมีสิทธิพิเศษอีกมากมายสำหรับผู้เข้าร่วม โดยเฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนร่วม masterclass กับ Erin Meyer จะได้รับ หนังสือ “NoRules Rules” ฉบับเซ็นชื่อโดยผู้เขียน เป็นที่ระลึกกลับบ้านไปด้วยและยังมีโอกาสร่วมรับประทานอาหารกลางวันและถ่ายภาพกับ Erin อย่างใกล้ชิดซึ่งเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ง่ายๆ นอกจากนี้ ในงาน PMAT 60 ปีนี้ยังเป็นศูนย์รวมของผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญด้านHR กว่า 500 คนจากองค์กรชั้นนำทั้งในไทยและต่างประเทศคุณจะได้มีโอกาส สร้าง Networking กับเพื่อนร่วมวิชาชีพแลกเปลี่ยนมุมมอง และสร้าง connection ใหม่ๆที่อาจเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการทำงานของคุณต่อไปการได้อยู่ท่ามกลางสังคมแห่งการเรียนรู้เช่นนี้จะช่วยจุดประกายไอเดียและวิสัยทัศน์ใหม่ๆให้กับคุณได้อย่างแน่นอน
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้คงเห็นแล้วว่าทำไมนักวิชาชีพด้าน HR, L&D และผู้นำองค์กรทั่วโลกต่างให้ความสนใจกับแนวคิดของErin Meyer และนี่คือโอกาสที่คุณจะได้เรียนรู้จากเธอโดยตรงถึงประเทศไทยอย่าพลาดที่จะมาร่วมงาน HR DAY-PMAT 60th Anniversary HR International Conference 2025 ซึ่งจะจัดขึ้น วันที่ 12–13 พฤศจิกายน 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) โดย Erin Meyer มีกำหนดการขึ้นเวทีในวันที่12 พฤศจิกายน พร้อมทั้ง Masterclass สุดพิเศษเฉพาะงานนี้เท่านั้นผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าร่วมงานล่วงหน้าได้ที่เว็บไซต์60th.pmat.or.th หรือสอบถามสมาคมการจัดการงานบุคคลฯโทร. 095-042-9327
website อ้างอิง
Erin Meyer ผู้เขียน The Cultural Map และ Netflix NoRules Rules ขวัญใจผู้บริหารและสายงาน Corporate Culture |Techsauce
สรุปทุกเรื่องที่ควรรู้จากงานPMATTHAILAND LEARNING & DEVELOPMENT FORUM 2024 : DAY 1 | HREX.asia
จง 'Feedback' ให้เป็น แบบ ‘Diamond Cutter’ นักเจียระไนคำพูดให้เฉียบคม