>
6 แนวทางการสร้างสุขภาวะที่ดีให้กับพนักงานในองค์กร
June 6, 2023

6 แนวทางการสร้างสุขภาวะที่ดีให้กับพนักงานในองค์กร

วิชาชีพการบริหารทรัพยากรมนุษย์นั้น มีบ่อยครั้งที่พนักงานมักจะเกรงใจ หรือรู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะเข้ามาปรึกษาเรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วยของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นปัญหาทางสุขภาพจิตสุขภาพใจ เนื่องจากปัจจัยที่ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมมีอยู่ในสถานที่ทำงานอยู่เต็มไปหมด ยกตัวอย่างเช่น ความตึงเครียดของเนื้องาน วัฒนธรรมร่วมขององค์กร เพื่อนร่วมงาน ผู้บังคับบัญชา รวมไปถึงการเดินทางมาทำงาน หรือความยืดหยุ่นของเวลาเข้างาน เป็นต้น

ดังนั้นการเกิดปัญหาที่เกี่ยวกับสุขภาพของพนักงานจึงไม่ควรถูกมองเป็นเพียงแค่เรื่องของปัจเจก หรือของคนใดคนหนึ่ง แต่ HR จะต้องมองในภาพรวมขององค์กร เพราะศูนย์รวมของปัญหาที่เกิดขึ้นล้วนมากองไว้อยู่ที่สถานที่ปฏิบัติงานทั้งสิ้นคุณ Nataly Kogan ผู้ซึ่งเป็นผู้ฝึกสอนการออกกำลังกายทางอารมณ์หรือ emotional fitness และนักเขียน-วิทยากรชื่อดังเจ้าของช่อง podcast “The Awesome Human Podcast” ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรื่องราวที่น่าสนใจที่เธอได้ใช้จากประสบการณ์ที่ได้ทำเวิร์คชอปการบรรยาย และการสัมภาษณ์กับมนุษย์วันทำงาน ทั้งองค์กรใหญ่ องค์กรเล็กทั้งองค์กรที่แสวงหากำไร และองค์กรการกุศล รวมไปถึงพนักงานหลากหลายระดับทั้งผู้บริหาร แพทย์ พยาบาล ไปจนถึงด่านหน้าของระบบสาธารณสุขที่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตโรคระบาดอย่างโควิด-19 เป็นต้น โดยเธอได้ให้ข้อคิดที่สำคัญเอาไว้สั้น ๆ แต่ได้ใจความว่า “หากเราต้องการสร้างสุขภาพ หรือสุขภาวะที่ดีในองค์กรทุกอย่างมักจะเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ แต่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กันสม่ำเสมอ”

 

Employee Well-being คือ หัวข้อของทั้งองค์กร

ย้ำกันอีกครั้งว่าเวลาพูดถึงสุขภาวะของพนักงาน เราไม่ได้พูดถึงคนเพียงบางกลุ่ม(ที่อาจจะเจ็บไข้ได้ป่วย) แต่เรากำลังจะดึงประเด็นนี้ขึ้นมาพูดคุยกันในวงกว้างในระดับองค์กรในระดับตัววัฒนธรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะผู้นำของผู้บริหารระดับสูง ระดับกลาง หรือระดับแรก รวมไปถึงกระบวนการทำงานการออกแบบการดูแลพนักงาน สวัสดิการ และผลประโยชน์ต่าง ๆ ของพนักงานด้วยไม่ได้เหมารวมไว้เพียงแค่เรื่องของความไม่สบาย (sickness) เพียงอย่างเดียว

 

HR คือกุญแจสำคัญในการสร้าง Well-being

เพราะพวกเราคือตำแหน่งงานที่สามารถยกมือและปรับเปลี่ยนกระบวนการวัฒนธรรม และบรรยากาศโดยรอบขององค์กรได้โดยใช้การนำเสนอทางวิทยาการและวิทยาศาสตร์แขนงต่าง ๆเพื่อจูงใจให้ผู้บริหารยอมรับถึงผลเชิงบวกที่บริษัทจะได้กลับมาหากวันนี้เราเริ่มการเปลี่ยนแปลงที่สร้างสุขภาพกายและใจของพนักงานให้ดีขึ้น

 

การออกกำลังกายทางอารมณ์ความรู้สึก - ออกกำลังใจ

เมื่อเราเข้าฟิตเนส เราสร้างกล้ามเนื้อสร้างความแข็งแรงของร่างกาย เพิ่มความยืดหยุ่นได้จากการฝึกฝน และออกกำลังกายเรื่อยๆเช่นกันกับอารมณ์และความรู้สึก เราสามารถ “ฝึก” และ “ออกกำลัง”ได้เช่นเดียวกับกล้ามเนื้อของเรา เมื่อเราออกกำลังทางอารมณ์ได้ เราจะพัฒนาตัวเองพัฒนาการสื่อสาร การสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นรวมไปถึงช่วยให้ผู้อื่นได้ร่วมออกกำลังใจกับเรา เรามาลองดูวิธีการทั้ง 6 รูปแบบ ที่จะช่วยให้วันนี้พนักงานของเราลุกขึ้นมาออกกำลังใจกัน

 

1.)   การ check-in กับตัวเองทุกวัน

คำว่าcheck-in หากจะตีความหมายให้เหมาะสมกับเรื่องที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่ก็ควรจะแปลว่า การติดตาม ตรวจสอบ และรายงานผล กับตัวเองสม่ำเสมอเหมือนการที่เราใช้เครื่องวัดความดันตรวจสอบสภาพความดันของร่างกายเราหรือใช้นาฬิกา smart watch ตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจการเริ่มต้นตรวจสอบตัวเอง แม้จะไม่มีเครื่องมือแต่เราก็สามารถกระทำได้จากการตั้งคำถามให้กับตัวเองในทุกวัน ด้วยคำถามเช่น“วันนี้เราเป็นอย่างไร? เรากำลังรู้สึกแบบไหน?” สิ่งสำคัญคือห้ามเราพยายามเข้าไปแก้ไขอารมณ์ที่เราตรวจเจอเด็ดขาด สิ่งที่อยากให้เราทำคือ “ยอมรับ”ว่าเรามีอารมณ์แบบนั้น ณ ขณะนี้ โดยงานวิจัยบอกว่าการสร้างพฤติกรรมตรวจสอบอารมณ์ตัวเองอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดอัตราของการ burnout ลงได้

 

2.)   การหยุดพักแบบ“น้อยแต่มาก” ระหว่างวัน

อันดับแรกสิ่งที่ยากคือ “น้อยแต่มาก” ทำอย่างไรถึงจะได้มาสิ่งสำคัญที่จะต้องทำเพื่อให้เกิดการหยุดพักที่มีประสิทธิภาพคือ การตัดขาดจากงานเพื่อสร้างกระบวนการฟื้นฟสภาวะจิตใจของเราเปรียบเสมือนการชาร์จแบตของโทรศัพท์มือถือ ดังนั้น การไถฟีด Tiktok หรือ social media เพื่ออ่านข่าวจึงไม่ได้อยู่ใน “น้อยแต่มาก” ที่เราพูดถึง บริษัท Microsoft ได้ออกงานวิจัยขนาดใหญ่ที่ค้นพบว่า หากเราใช้เวลาหยุดพักระหว่างการประชุมห้าถึงสิบนาที จะสร้างโอกาสในการลดความเครียดลงไปได้สูงมากเนื่องจากสมองของมนุษย์เรานั้น ต้องการการหยุดพักทุก ๆ เก้าสิบถึงหนึ่งร้อยยี่สิบนาที เพื่อทำการขจัดความเครียดออกไปดังนั้นหากเราต้องการจะกลับไปโฟกัสกับงานในมากขึ้นการหยุดพักแบบน้อยแต่มากในระหว่างวันจึงจำเป็น จำไว้ว่า พักก็คือพักไม่ใช่นั่งอ่านข่าวการเมือง

 

3.)   ฝึกการยอมรับแบบ“สุดมือสอย ก็ต้องปล่อยมันไป”

กระบวนการนี้มีสองขั้นตอนด้วยกันเริ่มจาก เรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในอารมณ์ของเราก่อน ทั้งสถานการณ์รายล้อมและข้อมูลที่รายเรียง พิจารณาว่าสิ่งใดบ้างเป็นข้อเท็จจริงสิ่งใดบ้างเป็นเพียงข้อมูลขั้นต้น จากนั้นค่อยกลับมาคิดว่าอะไรที่เราสามารถบริหารจัดการภายใต้ความสามารถของเราณ ขณะนี้ได้บ้าง แล้วก้าวเดินต่อไป การสะสมความตึงเครียดในกระบวนการต่าง ๆ เช่นการตัดสินใจที่โลเลไปมา สร้างภาระอันหนักหน่วงให้กับสมองของเรามากกว่าที่เราคิดการพยายามเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้นไปทีละเรื่องทีละจุด จะสร้าง “small win” เล็ก ๆ ที่ทำให้สมองเรามีพลังงานมากขึ้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เราตกอยู่ในสภาวะดังกล่าว ให้รีบพยายามหาข้อเท็จจริงก่อนและอะไรที่เราควบคุมไว้ไม่ได้ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา เพราะต่อให้เราคิดไปเรื่อยๆ สิ่งนั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และเราเองก็ทำอะไรไม่ได่เช่นกัน

 

4.)   จัดลำดับความสำคัญกับเรื่องเชื่อมสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน

เพียงการทักทายถามไถ่ พูดคุยก่อนการประชุมงานจะเริ่มขึ้นก็สามารถสร้างสุขภาวะทางอารมณ์ที่ดีให้กับเราและบุคคลรอบข้างได้เช่นกันงานวิจัยได้ศึกษาพบว่า ยิ่งเรามีสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานมากขึ้นยิ่งทำให้เรามีความเครียดลดลง ดังนั้น หาก HR อยู่ในห้องประชุมทางไกล หรือ online meeting ก็ควรจะเป็นคนเริ่มต้นบทสนทนาเพื่อเชื่อมสัมพันธ์เร็วๆ สัก 1-2 นาที เนื่องจากสิ่งเหล่านี้มักจะถ่ายทอดต่อไปกับคนร้อบข้างเราด้วย โดยสมมติฐานคือพนักงานที่ได้รับความรู้สึกดี ๆ นี้ ก็อยากจะทำแบบนี้กับประชุมอื่น ๆ เช่นกัน

 

5.)   สร้างพลังบวกเพื่อรับมือกับพลังลบจากสมอง

การฝึกการสร้างพลังบวกนั้นมีไว้เพื่อรับมือกับสภาวะ Fight or Flight ของสมอง (จะหนี หรือจะสู้)เวลาเราเจอเรื่องเครียด ๆ เช่น โดนดุด่าว่ากล่าวจากที่ทำงาน หรือทำงานผิดพลาดสมองเราจะเข้าโหมดดังกล่าวทันที ถ้าเราเข้าสภาวะสู้ เราอาจจะเริ่มเหวี่ยงคนรอบข้างหรือสร้างข้ออ้างต่าง ๆ เพื่อให้ตัวเองพ้นผิด หรือเข้าสภาวะหนีเราอาจจะปิดหน้าจองาน และไม่รับรู้อะไร ไม่ทำงานอะไรเลยก็ได้ ดังนั้นเราจึงควรฝึกพลังบวกเพื่อให้เป็นเกราะป้องกันเวลาที่เราตกอยู่ในเหตุการณ์ที่อาจนำไปสู่เรื่องดังกล่าวการฝึกพลังบวก ไม่ได้หมายถึงเราจะต้องปฏิเสธหรือเพิกเฉยต่อปัญหาที่เกิดขึ้นแต่คือการหยุดคิด และหันมาชื่นชมกับสิ่งที่มีอยู่บ้างการได้จิบเครื่องดื่มที่เราชอบ การได้มีสายตาดี ๆ ไม่ต้องตัดแว่น การที่วันพรุ่งนี้จะวันหยุดแล้วล้วนแล้วแต่เป็นเรื่อง “จริง”ที่เราไม่เคยเหลียวมองเวลาที่เราตกอยู่ในสภาวะจะสู้หรือจะหนีนั่นเอง

 

6.)   ฝึกการพักผ่อนแบบตัดขาดจากงานบ้าง

เนื่องจากการพักผ่อนมีหลากหลายแล้วแต่ความเหมาะสมกับการดำรงชีวิตของแต่ละคน บางคนชอบท่องเที่ยว บางคนชอบเล่นเกมบางคนชอบทำกิจกรรมลุย ๆ ดังนั้น ควรหาเวลาให้พนักงานได้ใช้วันหยุดพักผ่อนที่ออกไปสร้างกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ชอบเพื่อตัดขาดการโลกของงาน อย่างไรก็ตามการนั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์นาน ๆหรือดูซีรียส์รวดเดียวทั้งคืน อาจจะทำให้เราหายเบื่อ แต่สมองกลับไม่ได้พักจึงควรระมัดระวังเรื่องนี้ด้วย การทำ workshopสนุก ๆ ในที่ทำงาน หรือนอกเวลางานอย่าง การวาดรูป การระบายสีการเล่นดนตรี เป็นการพักผ่อนที่ช่วยลดอัตราการ burn out ได้สูงมากกว่ากิจกรรมหน้าจอ

 

อ้างอิง:
ToBuild a Top Performing Team, Ask for 85% Effort (hbr.org)
6 Science-Backed Ways to Improve Your Well-Being at Work (hbr.org)

Tag:
No items found.
Share this post:
ภคภัค สังขะสุนทร

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024