>
ฝ่าสังเวียนดิจิทัลไปกับผู้นำยุคใหม่
March 3, 2021

ฝ่าสังเวียนดิจิทัลไปกับผู้นำยุคใหม่

การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Disruption) เป็นเรื่องที่นำมาซึ่งวิกฤติและโอกาสให้กับองค์กร แต่ถ้าสังเกตให้ดีเราจะพบว่าในทุกวิกฤติที่เกิดขึ้นจะมีโอกาสตามมาเสมอ ในขณะที่ผู้คนกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและพยายามปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation) จะทำให้เราเห็นความสามารถและศักยภาพของคนรุ่นใหม่ที่คุ้นชินกับเทคโนโลยีเหล่านี้อยู่แล้ว ดังนั้นผลพวงของภาวะวิกฤติก็จะทำให้เราได้ผู้นำใหม่เกิดขึ้นมาด้วยเช่นกัน ซึ่งนับว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะช่วยย่นระยะเวลาที่จะใช้ในการพัฒนาคนเหล่านี้ให้พร้อมรับช่วงต่อการทำงานในองค์กรต่อไปได้ในอนาคต

จริงอยู่ที่ว่าความสามารถของแต่ละบุคคลเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้คนรุ่นใหม่แสดงศักยภาพในการเป็นผู้นำออกมาได้ในภาวะวิกฤติ แต่ปัจจัยในการจะพัฒนาคนรุ่นใหม่คงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนบุคคลเท่านั้น หากแต่บรรยากาศที่เปิดกว้างในองค์กรก็มีส่วนสำคัญยิ่ง ผู้นำต้องมีส่วนร่วมในการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงศักยภาพของตนเองโดยไม่ปิดกั้น ดังนั้นการพัฒนาภาวะผู้นำในยุคที่เต็มไปด้วยกระแสการถาโถมเข้ามาของเทคโนโลยี (Disruption) ตัวองค์กรหรือพูดให้ชัดเจนก็คือ HR ต้องเข้าใจ 3 ประเด็นเหล่านี้ให้ชัดเจน คือ มุมมองที่เปลี่ยนไปของคนรุ่นใหม่ที่มีต่อการพัฒนาภาวะผู้นำในยุคดิจิทัล ลักษณะของผู้นำในยุคดิจิตอล และภาวะผู้นำ (Leadership) ที่เปลี่ยนไป เพื่อให้ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต

การพัฒนาภาวะผู้นำในยุคดิจิตอลในมุมมองของคนรุ่นใหม่

แนวคิดเรื่องภาวะผู้นำที่ดีตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันมีความแตกต่างเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของแต่ละยุคสมัย เริ่มจาก Trait Theories ซึ่งเป็นแนวคิดของภาวะผู้นำแบบดั้งเดิม เกิดจากความเชื่อว่าผู้นำที่ดีต้องเกิดมาพร้อมกับคุณลักษณะของผู้นำ หรือเป็นผู้นำกันมาตั้งแต่เกิด แต่ภาวะผู้นำในยุคต่อมากลับมุ่งเน้นไปที่พฤติกรรมของผู้นำตามแนวคิดพฤติกรรมนิยม (Behavioral Theories) ซึ่งประกอบไปด้วย

(1) ผู้นำแบบเผด็จการ (Autocratic) เน้นการควบคุมโดยผู้นำ

(2) ผู้นำแบบประชาธิปไตย (Democratic) เน้นการตัดสินใจร่วมกัน ทำงานเป็นทีม

(3) ผู้นำแบบตามสบาย (Laissez-faire) ผู้นำให้อิสระในการทำงานเต็มที่ และเข้าไปยุ่งเกี่ยวน้อยมาก

หลังจากความนิยมของแนวคิดพฤติกรรมนิยมซาลงไป แนวคิดเรื่องภาวะผู้นำก็ได้พัฒนาไปอีกครั้งตามบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วทำให้เกิดแนวคิดภาวะผู้นำตามสถานการณ์ (Situational Leadership) ที่เชื่อว่าภาวะผู้นำที่เหมาะสมควรต้องปรับบทบาทตนเองตอบสนองเปลี่ยนไปตามสถานการณ์

เมื่อเรามาถึงยุค Digital Transformation การพัฒนาภาวะผู้นำในยุคดิจิทัลควรเป็นอย่างไร?

ก่อนอื่นเราจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับบทบาทและความท้าทายของผู้นำรุ่นใหม่เสียก่อน เพื่อจะได้ออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของเหล่าคนรุ่นใหม่ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหาร ประการแรกที่เราต้องพิจารณาเลยคือ ยุคนี้เป็นยุคที่ข้อมูลที่เรามีอยู่มีความสำคัญพอ ๆ กับข้อมูลที่ไม่มี ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ การบริหารองค์กรในปัจจุบันได้เปลี่ยนจาก Based on certainty เป็น Based on discovery ดังนั้นผู้บริหารจึงต้องมีบทบาทบริหารงานบนความเสี่ยงและการไม่มีข้อมูลที่เพียงพอให้ได้ นอกจากการเปลี่ยนแปลงบทบาทผู้นำในองค์กรแล้ว เมื่อมองในภาพรวมของสังคม บทบาทของคนในสังคมก็มีการเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน เราจะเห็นได้ว่าจำนวนของผู้นำกลุ่มในสังคมที่เป็นผู้หญิงหรือผู้นำอายุน้อยมีเพิ่มมากขึ้น ฮีโร่ในภาพยนตร์ปัจจุบันก็สะท้อนแนวคิดว่าความโดดเด่นและความสามารถของผู้นำเพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่เพียงพอ ผู้นำจึงต้องสามารถทำงานเป็นทีมได้ดีด้วย ขณะที่การบริหารงานและค่านิยมบางอย่างของสังคมมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไปแล้ว ถ้าแนวคิดการพัฒนาภาวะผู้นำยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับบริบทของการบริหารที่เปลี่ยนแปลงไป การพัฒนานั้นก็จะไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร หรือไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย หรืออาจสร้างความเสียหายให้กับองค์กรได้ด้วยซ้ำ

มีงานวิจัยของฮาร์วาร์ดเกี่ยวกับมุมมองของคนรุ่นใหม่ที่มีต่อการพัฒนาภาวะผู้นำในยุคดิจิตอล พบว่า

- คนรุ่นใหม่เห็นว่าระบบการพัฒนาภาวะผู้นำส่วนใหญ่ที่มีอยู่นั้นไม่สอดคล้องกับงานที่ได้รับมอบหมาย

- ผู้นำยุคใหม่ควรมีส่วนร่วมในการออกแบบระบบการพัฒนาของตนเอง

- การพัฒนาการเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยียังไม่เพียงพอที่จะตอบสนองบทบาทของคนยุคใหม่

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีงานวิจัยที่บ่งชี้ให้เห็นว่า องค์กรที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาวะผู้นำไปพร้อมกันกับ การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิตอล มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จมากกว่าองค์กรที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาวะผู้นำ มากถึง 29 เท่า ผู้นำในอดีตจะมุ่งเน้นในเรื่อง Efficiency และ Effectiveness = Expert เพื่อให้องค์กรมีความเข้มแข็ง หากแต่ปัจจุบันความเข้มแข็งเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป ผู้นำต้องมีแนวคิดการสร้างองค์กรแบบ Agile เพื่อให้ได้ทั้งความแข็งแรงและความยืดหยุ่นไปพร้อมกัน ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีคำตอบที่ชัดเจนแล้วว่า การพัฒนาภาวะผู้นำในมุมมองของคนรุ่นใหม่เพื่อก้าวสู่ยุคดิจิทัล (Digital transformation) จึงจำเป็นต้องมีการผสมผสานกันระหว่างความเป็นผู้เชี่ยวชาญ (Expert) กับความยืดหยุ่น (Flexible) หรือที่เรียกกันว่า Flexpert นั่นเอง

แล้วผู้นำในยุคดิจิตอลควรเป็นอย่างไร?

1. Digital Expert ผู้นำและบุคลากรที่อยู่ในองค์กรซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านดิจิตอลสูงมาก (Digital business) เช่น Google Amazon

2. Digital Natives ผู้ที่รู้ภาษาเกี่ยวกับดิจิตอล เช่น รู้ว่า AR คืออะไร? VR คืออะไร? Machine learning มีความแตกต่างกันเช่นไร? และนำมาใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้

3. Digital Adventurer ผู้ที่เพิ่งจะเริ่มใช้งานดิจิตอล เช่น เริ่มเล่นเกมส์ เล่น LINE แต่ยังไม่มีความ เชี่ยวชาญ

4. Digital Resisterผู้ที่ไม่ยอมรับการใช้ดิจิตอล ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มคนส่วนน้อยที่อยู่ในองค์กรในปัจจุบัน

การออกแบบการเรียนรู้หรือพัฒนาภาวะผู้นำของคนในแต่ละกลุ่มข้างต้นต้องมีความแตกต่างกัน เช่น ในกลุ่มแรกจะสามารถเข้าใจกลยุทธ์ที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในองค์กร (Digital strategy) ได้ในทันที ในขณะที่กลุ่มสุดท้ายอาจต้องเริ่มจากการปรับ Mindset ให้เกิดการยอมรับเรื่องเทคโนโลยีกันเสียก่อน

ผู้นำ Gen Me

ลักษณะของผู้นำรุ่นใหม่ที่เกิดในช่วงปี ค.ศ. 1986 - 1995 ที่กำลังอยู่ในกลุ่มผู้นำรุ่นใหม่หรือคนที่อยู่ในยุค Millennials (Gen Me) ส่วนใหญ่จะเกิดแรงจูงใจหรือมีความสนใจในตำแหน่งผู้นำจากปัจจัยภายในแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการวางแผนกลยุทธ์ ความต้องการมีบทบาทในองค์กร ความต้องการงานที่มีความสำคัญและท้าทาย ส่วนปัจจัยภายนอกนั้นมีเพียงเรื่องผลตอบแทนที่จะได้รับจากตำแหน่งที่สูงเท่านั้นที่เป็นแรงจูงใจจากภายนอกเพียงปัจจัยเดียว นอกจากนี้คน Gen Me ส่วนใหญ่ จะมีลักษณะที่ต้องการความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ส่วนเรื่องของการตัดสินใจสำหรับคน Gen Me ในแถบภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้น พบว่าเพื่อนและครอบครัวจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ แต่สำหรับแถบภูมิภาคยุโรปพบว่าการตัดสินใจนั้นจะขึ้นอยู่กับตัวเองมากกว่า จะเห็นได้ว่าภาพรวมของความต้องการและแรงจูงใจของคน Gen Me นั้น มีความหลากหลายแตกต่างกันไป จนแทบจะไม่สามารถกล่าวโดยรวมได้

ค่านิยมเกี่ยวกับผู้นำในภูมิภาคต่าง ๆ

นอกจากลักษณะนิสัย ความต้องการ และพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่แตกต่างหลากหลายกันขนาดนี้แล้ว ค่านิยมของการเป็นผู้นำที่ดีในยุคดิจิตอลของแต่ละพื้นที่ยังมีความแตกต่างกันยิ่งขึ้นไปอีก ในแถบภูมิภาคอเมริกา ผู้นำจะต้องเป็นแบบ Empowering เปิดโอกาสให้คน Millennials ได้แสดงความสามารถ ไม่ต้องการการควบคุม ใช้การโค้ชและให้คำแนะนำในการดูแล ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับผู้นำในแถบภูมิภาคตะวันออกกลางที่ต้องการผู้นำที่มีความชัดเจน ช่วยเหลือสนับสนุนในแง่ของการให้ข้อมูลได้ ส่วนในแถบภูมิภาคยุโรป กลับต้องการผู้นำที่มีความเชี่ยวชาญสามารถให้คำแนะนำได้ การพัฒนาภาวะผู้นำในยุคดิจิตอลนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องทำความรู้จักลักษณะของคนรุ่นใหม่และค่านิยมในภูมิภาคที่ตนเองเกี่ยวข้องให้ดี โดยจะมองแต่ภาพรวมเพียงเท่านั้นไม่ได้

ผู้นำตัวคูณ VS ผู้นำตัวหาร

ลักษณะของผู้นำในอีกมุมมองที่จะกล่าวถึง คือ ผู้นำตัวคูณ (Multiplier Leader) เป็นผู้นำที่จะคอยสนับสนุนและช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้กับลูกน้อง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นผู้นำที่เป็นต้องการในยุคปัจจุบัน แต่ยังมีผู้นำประเภทที่ตรงกันข้าม คือ ผู้นำตัวหาร (Diminish leader) ผู้นำที่บั่นทอนความสามารถของลูกน้อง ในโลกนี้ไม่มีใครต้องการเป็นผู้นำตัวหาร แต่ผู้นำตัวหารนั้นมักจะเกิดโดยไม่ตั้งใจ ในบางครั้งผู้นำตัวคูณก็สามารถกลายเป็นผู้นำตัวหาร และผู้นำตัวหารก็สามารถกลับตัวมาเป็นผู้นำตัวคูณได้เช่นกัน ดังนั้นเราจึงควรมาทำความรู้จักกับลักษณะของผู้นำตัวหารทั้ง 6 แบบ เพื่อไม่ให้ตัวเราต้องกลายเป็นผู้นำตัวหารหรือเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างผู้นำตัวหารขึ้นมาแบบไม่ตั้งใจ ผู้นำตัวหารทั้ง 6 แบบมีดังนี้

Idea Guy - ผู้นำที่มีความคิดมาใหม่ เปลี่ยนใหม่ได้ทุกวัน ส่งผลให้ลูกน้องตามไม่ทัน

Always On - ผู้นำที่ครบเครื่อง ส่งผลให้ลูกน้องไม่ต้องทำอะไร

Rescuer - ผู้นำที่เป็นเสมือนหน่วยกู้ภัย ที่จะคอยช่วยเหลือจัดการทุกอย่างให้ลูกน้อง

Pacesetter - ผู้นำที่ชอบให้ลูกน้องปฏิบัติตามทุกอย่าง

Optimist - ผู้นำโลกสวย

Perfectionist - ผู้นำเป๊ะเว่อร์

เมื่อโลกมีการเปลี่ยนแปลง มุมมองของการเป็นผู้นำที่ดีก็จะเปลี่ยนตามไป แต่ไม่ว่าลักษณะของผู้นำจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร จุดมุ่งหมายของผู้นำที่ดีก็คือการขับเคลื่อนผู้บุคลากรให้พัฒนาไปข้างหน้า และต้องสามารถดึงศักยภาพของคนออกมาได้ แต่การจะขับเคลื่อนหรือดึงศักยภาพของคนในองค์กรให้ออกมาได้ ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแบบนี้ก็คงไม่มีสูตรสำเร็จใดทำได้อีกแล้ว ผู้นำจะต้องค้นหา ศึกษา และพัฒนาภาวะผู้นำที่เหมาะสมไปตามการเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน

โฉมหน้าของ Leadership ที่เปลี่ยนไป

ผู้นำในยุคนี้และต่อเนื่องไปยังอนาคตข้างหน้าจะต้องเน้นนวัตกรรม (Innovation) และแสวงหาความร่วมมือ (Collaboration) มากขึ้น ผู้นำจึงจะต้องมีความสามารถในการโน้มน้าวและดึงคนจากหลากหลายกลุ่มให้มาร่วมทำงานกันได้ ต่อไปนี้ความเป็นผู้นำจะไม่ได้วัดกันที่ตำแหน่งงาน ทุกคนสามารถหมุนเวียนขึ้นมาเป็นผู้นำได้ตลอดเวลา ซึ่งทำให้การทำงานเป็นแบบ Team centric มากขึ้น การทำงานแบบ One-on-one coaching จะเปลี่ยนไปเป็น Team coaching ดังนั้นแน่นอนว่าคุณสมบัติหนึ่งที่สำคัญของผู้นำในอนาคตคือจะต้องเป็นผู้ที่โค้ชทีมได้

การที่ผู้นำจะสร้างนวัตกรรม (Innovation) มาแทรกแซง หรือ Disrupt คนอื่นได้ คงจะต้องเริ่มจากการ Disrupt ตนเองก่อน โดยหนึ่งในวิธีการที่น่าจะได้ผลมากที่สุดก็คือการนำแนวคิด Design Thinking ของการสร้างนวัตกรรมมาฝึกฝนทักษะของตัวเอง 5 ประการ ได้แก่

1. Associating - เชื่อมเพื่อจำ

 >>> ต้องรู้จักเชื่อมโยงคำถามเข้ากับอะไรบางอย่าง ซึ่งจะช่วยให้ความจำยาวขึ้น จดจำเรื่องที่เรียนรู้ได้เเม่นยำขึ้น เช่น ความรู้นี้จะนำไปใช้กับใครได้บ้างอย่างไร?

2. Questioning - ถามเพื่อขยับสมอง

 >>> หมั่นตั้งคำถามที่เป็นอุปสรรคต่อตนเอง เพื่อฝึกให้ก้าวออกจาก Comfort zone โดยใช้การตั้งคำถามในลักษณะ "What if...?" เช่น ถ้าวันหนึ่งไม่สามารถขายสินค้าลูกค้ากลุ่มเดิมนี้ได้จะทำอย่างไร?

3. Observing - ส่องและสังเกต

 >>> เปิดกว้างและยอมรับความคิดที่แตกต่างจากตัวเรา ประมวล และเก็บนำมาเชื่อมโยงกัน

4. Experimenting - ลองและขอ feedback

 >>> ทดลองและลงมือทำ และไม่มีการลงโทษ เมื่อเกิดความผิดพลาด

5. Networking - แลกเปลี่ยนกับก๊วน

 >>> สร้างกลุ่มไว้เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน

สุดท้ายนี้ ในการพัฒนาผู้นำยุคใหม่ หากมองผ่านสายตาของคนรุ่นใหม่ พร้อมทั้งทำความเข้าใจกับลักษณะของคนรุ่นใหม่โดยไม่คิดเหมารวม (Stereotype) จะช่วยให้การออกแบบพัฒนาภาวะผู้นำนั้น ตอบโจทย์ทั้งองค์กร และตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากการดูแลผู้นำรุ่นใหม่นั้นอยู่ในมือเรา ถ้าเราดูแลเขาให้ดี เขาก็จะดูแลองค์กร สังคม และโลกของเราให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

Tag:
No items found.
Share this post:
KHON

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024