เมื่อสังคมโลกขับเคลื่อนด้วยสังคมข้อมูลจำนวนมาก จนมีการเปรียบเทียบว่า ข้อมูล (Data) เปรียบได้กับทอง หรือ น้ำมันยุคใหม่ และเป็นสิ่งที่ทุกองค์กรต้องการเข้าถึง และใช้ประโยชน์ เพราะข้อมูลจะนำมาซึ่งความเข้าใจพฤติกรรม และความต้องการของผู้คน หรือ ลูกค้า ปัญหาที่จะเกิดตามมาคือ องค์กรจะเข้าถึง ใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างไร จากเดิมองค์กรใช้ข้อมูลแค่ประมวลผล แล้วสร้างเป็นทางเลือกเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ ซึ่งไม่น่าจะเพียงพอสำหรับสังคมปัจจุบัน การใช้ประโยชน์จากข้อมูลนับจากนี้ไป เมื่อประมวลผลแล้ว ต้องตามมาด้วยการวิเคราะห์ พยากรณ์ หาแนวโน้ม เพื่อบอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตบนฐานข้อมูลแบบนี้ และต้องพัฒนาต่อถึงการตั้งคำถามแบบ What-if เพื่อจำลองสถานการณ์และดูผลกระทบจากการตัดสินใจในทางเลือกต่างๆ การบริหารจัดการ Big Data ดังกล่าวต้องกระทำการอย่างมีวิชาชีพ สังคมข้อมูลจึงเกิดอาชีพใหม่ๆ ตามมาเป็นจำนวนมาก เช่น Data Analytic, Content Editor, Social administer, Application Creator, Reviewer, Blogger และ Youtuber ฯลฯ อาชีพ “Data Scientist (นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล)” ก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่เกิดขึ้นมาในสังคมข้อมูล ที่กำลังร้อนแรง ทั้งในแง่ของความต้องการ และ การผลิต ที่แทบจะทุกองค์กรในศตวรรษที่ 21 กำลังถวิลหา
เพื่อให้ผู้สนใจได้เข้าถึง อาชีพนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล ที่วารสาร Harvard Business Review ได้นำบทความของ Thomas H. Davenport and D.J. Patil ชื่อ “Data Scientist: The Sexiest Job of The 21st Century”ตีพิมพ์เมื่อเดือนตุลาคม 2012 ให้มากขึ้นผู้เขียนจะขอขยายความถึงอาชีพนี้ให้ทราบในประเด็นสำคัญๆ ดังนี้
1. นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล หมายถึงใคร:นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล หมายถึงบุคคลที่มีหน้าที่เป็นคนกลางระหว่างโจทย์ของผู้บริหารองค์กร กับข้อมูล เพื่อให้ได้มาซึ่งทางออกที่มีประสิทธิภาพที่สุด
2. กระบวนการปฏิบัติงานของนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล:โดยทั่วไปนักวิทยาศาสตร์จะมีกระบวนการปฏิบัติงานคร่าวๆ
3. ทักษะที่จำเป็นสำหรับนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล :เนื่องจากอาชีพนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลเป็นอาชีพใหม่ที่กำลังมาแรง ในสังคม Big Data หลายๆ คนคงอยากจะรู้ว่าถ้าจะประกอบอาชีพนี้จะต้องมีทักษะ และ ความรู้ อะไรบ้าง
เพื่อแก้ปัญหานี้ในองค์กรที่ใช้ Data Scientist จำนวนมากๆ เช่น Facebook, google, Apple, Amazon เป็นต้น ได้มีการปรับปรุงกระบวนการคัดเลือก Data Scientist จะใช้รูปแบบที่เรียกว่า “STEMpathy” คือนอกจากทดสอบความรู้เรื่อง ทางเทคนิค เช่น Science, Technology, Engineering และ Mathematic แล้ว จะทดสอบทักษะทางด้านความเข้าใจและสามารถที่จะทำงานร่วมกับคนอื่นได้ (Empathy) เพิ่มเติมเข้าไปอีกด้วย บางองค์กรใน Silicon Valley ถึงกับระบุไว้เลยว่าพนักงานที่เขาจะรับเข้าทำงานจะต้องผ่านการทดสอบทักษะการทำงานร่วมกับคนอื่นก่อน เพราะเขาเชื่อว่าความรู้ทางเทคนิคสอนกันได้ แต่ทักษะการทำงานร่วมกับคนพัฒนายาก สอนยาก