>
ความแตกต่างของการประเมินการฝึกอบรม
March 20, 2022

ความแตกต่างของการประเมินการฝึกอบรม

การประเมินการฝึกอบรมยังคงเป็นจุดอ่อนที่สุดและส่วนใหญ่ยังอยู่ภายใต้การพัฒนาของการฝึกอบรม มีหลายประเด็นที่นำไปสู่การไม่สนใจต่อการประเมินผลหลังฝึกอบหรือการประเมินในระหว่างการฝึกอบรม การประเมินในสิ่งที่แตกต่างกันและคนที่แตกต่างกัน ถูกมองว่าเป็นงานยาก น่าเบื่อ และใช้เวลานาน ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่ฝึกอบรมไม่ชอบ หลายคนมักจะคิดว่าการฝึกอบรมจะได้ผล ถ้าผู้ทำหน้าที่ฝึกอบรม รู้สึกถึงความคาดหวังของการประเมินตามวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม นักวิชาการระบุว่าสาเหตุหลักของความล้มเหลวในการประเมิน ได้แก่ การวางแผนไม่เพียงพอ ขาดความเป็นกลาง ข้อผิดพลาดในการประเมินบางประเภท การตีความที่ไม่เหมาะสม และการใช้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมาะสม ประเด็นอื่น ๆ ได้แก่ ผู้ประเมินไม่ทราบเกี่ยวกับเทคนิคการประเมิน เครื่องมือรวบรวมข้อมูลที่ไม่เหมาะสม และเน้นรายละเอียดที่ไม่สำคัญ ดังนั้นในบทความเรื่องนี้ จะมาทำความเข้าใจในเรื่องของการประเมินผลการฝึกอบรม

การประเมินผลการฝึกอบรม แบ่งเป็น 4 ระดับ

ระดับที่ 1 การประเมินปฏิกิริยา (Reaction level)

การประเมินผลโครงการโดยทั่วไปมี 2 แนวทาง ได้แก่

> Formative evaluation การประเมินความก้าวหน้าระหว่างการฝึกอบรม เป็นการประเมินจากภายใน (Internal evaluation)

> Summative evaluation การประเมินผลสรุปรวมหลังจากเสร็จสิ้นการฝึกอบรม เป็นการประเมินจากภายนอก (External evaluation)

การประเมินปฏิกิริยา (reaction evaluation) เป็นวิธีการหนึ่งในแนวทางการประเมินความก้าวหน้า (Formative evaluation) ซึ่งสามารถนำผลการประเมินมาใช้พิจารณาเพื่อปรับปรุง เปลี่ยนแปลงเนื้อหาหลักสูตร เอกสารประกอบการอบรม และวิธีการนำเสนอ ทั้งนี้ การประเมินปฏิกิริยาในแนวทางการประเมินผลโครงการแบบสรุปรวม (Summative evaluation) นั้น เป็นการวัดคุณค่า คุณประโยชน์ ประสิทธิผล หรือ ประสิทธิภาพของโครงการฝึกอบรม เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจว่าควรจะดำเนินการจัดฝึกอบรมต่อไปหรือไม่ หรือควรขยายโครงการ ปรับเปลี่ยนหลักสูตร รวมถึงการนำความรู้ที่ได้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร

วัตถุประสงค์หลักของการประเมินปฏิกิริยา คือเพื่อทำให้โครงการฝึกอบรมมีคุณภาพ ส่งผลทำให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการวัดผลปฏิกิริยาของผู้เข้ารับการฝึกอบรมที่มีต่อโครงการฝึกอบรม การวัดผลควรดำเนินการทันทีหลังจากสิ้นสุดการฝึกอบรม การประเมินผลในระดับนี้ ควรประเมินปฏิกิริยาของผู้เข้าอบรมทั้งในภาพรวม (เช่น ชอบหรือไม่ชอบโครงการนี้)  และความคิดเห็นที่มีต่อองค์ประกอบแต่ละส่วนของโครงการด้วย เช่น หัวข้ออบรม เนื้อหา วิธีการสอน ผู้สอน เป็นต้น

ตัวอย่างของเครื่องมือ และวิธีการประเมินผลที่นักวิชาการแนะนำ ได้แก่ การทำแบบสอบถามความพึงพอใจ แบบฟอร์มข้อเสนอแนะซึ่งเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เข้าอบรมต่อการเข้าฝึกอบรม ประเมินจากการพูดคุยกับผู้เข้าอบรมแล้วนำมาวิเคราะห์ต่อไป การทำแบบสำรวจหรือแบบสอบถามภายหลังการฝึกอบรม การทำประเมินผลออนไลน์ หรือการให้คะแนนโดยตัวแทนผู้เข้าอบรม การพูดคุยกับตัวแทนผู้เข้าอบรม หรือทำรายงานเป็นลายลักษณ์อักษร ส่งกลับมายังผู้จัดการฝึกอบรมเพื่อดำเนินการต่อไป เป็นต้น

ระดับที่ 2 การประเมินการเรียนรู้ (Learning level)

การประเมินผลในระดับนี้ แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างระดับความรู้ที่มีก่อนเข้ารับการอบรม และสิ่งที่ได้เรียนรู้ระหว่างการฝึกอบรม กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า การประเมินผลการเรียนรู้เป็นเกณฑ์การวัดว่าผู้เข้าอบรมมีความรู้ หรือทักษะ ความสามารถเพิ่มขึ้นหรือไม่ ผลลัพธ์การเรียนรู้ ได้แก่การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับความรู้ ทักษะ หรือทัศนคติ โครงการฝึกอบรมแต่ละโครงการมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน เช่น เน้นการให้ความรู้ การฝึกทักษะความสามารถ การสร้างทัศนคติ หรือ หวังผลลัพธ์การเรียนรู้ที่หลากหลาย ดังนั้น การประเมินผลควรมุ่งไปที่การวัดสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการฝึกอบรม เช่น สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้หรือไม่ เป็นต้น ดังนั้น การประเมินในระดับนี้ จะทำการทดสอบก่อนและหลังการฝึกอบรม โดยมีเครื่องมือและวิธีการที่ใช้ในการประเมินผลระดับการเรียนรู้ ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลผู้เข้าอบรมเพื่อทำการประเมิน หรือแบบทดสอบความรู้ การสัมภาษณ์ การสังเกตุการณ์  ทั้งก่อนและหลังการฝึกอบรม ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลามากในการทำ และผลที่ได้อาจจะไม่สอดคล้องกันก็ตาม

ระดับที่ 3 การประเมินพฤติกรรม (Behavior level)

การประเมินพฤติกรรม เป็นการวัดผู้เข้าฝึกอบรมว่าได้นำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปปรับใช้ในการทำงาน และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งสามารถทำการวัดผลได้ทันทีหลังจากเสร็จสิ้นการฝึกอบรม หรือหลังจากการฝึกอบรมหลายเดือนไปแล้ว ขึ้นอยู่กับสถานการณ์นั้น ๆ การประเมินผลในระดับนี้ต้องการวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรม และ ผลการปฏิบัติงานของผู้เข้าอบรม หลังจากเข้ารับการอบรม

การทดสอบผลการปฏิบัติงานนี้ เพื่อระบุทักษะของผู้เรียนที่ได้นำมาประยุกต์ใช้กับสิ่งที่ได้เรียนรู้ในห้องเรียน ซึ่งเป็นการทดสอบความสามารถของผู้เข้าอบรมในการนำทักษะที่ได้เรียนรู้มาใช้ระหว่างการทำงาน มากกว่าในห้องเรียน การวัดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการทำงานเป็นเรื่องยาก เนื่องจากผู้เข้าอบรมแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบที่ต่างกัน และใช้เวลาไม่เท่ากัน การประเมินในระดับนี้จึงทำได้ยากกว่าระดับอื่น ๆ

การสังเกตการณ์ และการสัมภาษณ์ผู้เข้าอบรมเป็นระยะ เป็นวิธีการที่จำเป็นเพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการประเมินการเปลี่ยนแปลง นัยยะสำคัญของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่คงอยู่ต่อเนื่อง การประเมินตนเอง และการประเมินผลรอบทิศแบบ 360 องศา ของผู้เข้าอบรม เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อการประเมินผลในระดับนี้

ระดับที่ 4 การประเมินผลลัพธ์ (Result level)

เป็นการประเมินผลลัพธ์หรือผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อองค์กร อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เข้าอบรม ผลลัพธ์ที่ได้จากการประเมินในระดับนี้ ได้แก่ความคุ้มค่าจากการลงทุนจัดโครงการฝึกอบรม รวมถึงผลลัพธ์หลักอื่น ๆ ที่มีส่วนช่วยให้องค์กรมีการจัดการบริหารการทำงานที่ดี ซึ่งหมายถึงคนส่วนใหญ่ยอมรับว่า ส่งผลดีต่อธุรกิจขององค์กร ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นผลลัพธ์ทางด้านการเงิน (เช่น ผลตอบแทนการลงทุนเชิงบวก หรือผลกำไรที่เพิ่มขึ้น) หรืออาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรต่างๆที่เชื่อถือได้ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงด้านการเงินในอนาคต

ความมุ่งหมายในการประเมินผลระดับนี้  ก็เพื่อประเมินต้นทุนเทียบกับผลประโยชน์ที่ได้รับจากการจัดฝึกอบรม เช่น ผลกระทบต่อองค์กรที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนที่ลดลง  คุณภาพงานดีขึ้น ผลผลิตสูงขึ้น อัตราการเข้าออกของพนักงานลดลง ความสัมพันธ์ของบุคลากรดีขึ้น ยอดขายเพิ่ม ข้อร้องเรียนของพนักงานลดลง อัตราการขาดงานต่ำ ขวัญกำลังใจในการทำงานสูงขึ้น อุบัติเหตุลดลง ความพึงพอใจในการทำงานมากขึ้น เป็นต้น การรวบรวมข้อมูล การจัดการ และวิเคราะห์ข้อมูลในระดับนี้ นอกจากจะเป็นเรื่องยาก และใช้เวลา รวมทั้งต้นทุนสูง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ค่อนข้างคุ้มค่าเมื่อมองในบริบทของค่านิยมที่มีต่อองค์กร

Tag:
No items found.
Share this post:
ผศ.รัชฎาทิพย์ อุปถัมภ์ประชา

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024