>
อย่าปล่อยให้พนักงานเลือกวัน Work from home (WFH) เอง
August 6, 2021

อย่าปล่อยให้พนักงานเลือกวัน Work from home (WFH) เอง

“Don’t Let Employees Pick Their WFH Days” เป็นชื่อบทความจาก Harvard Business Review (HBR) เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา ครั้งแรกที่ได้เห็นบทความนี้ ผู้เขียนรู้สึกสนใจเนื้อหาข้างในเป็นอย่างมาก หัวข้อที่ดูเหมือนเป็นเนื้อหาเชิงลบ หรือดูจะเป็นการจำกัดสิทธิของพนักงานในการเลือกวันทำงานแบบ Work from home (WFH) ซึ่งก็ดูแล้วขัดแย้งกับนโยบายการอนุญาตให้พนักงาน WFH หรือทำงานจากที่ใดก็ได้อยู่ไม่น้อย ในบทความนี้ได้เปิดเผยข้อมูลการสำรวจคนทำงานทั้งชายและหญิงจำนวนประมาณ 30,000 คนในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ให้ความเห็นไปในทิศทางที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการ WFH พนักงานจำนวน 32% มีความต้องการที่จะทำงานที่บ้าน 5 วัน หรือตลอดทั้งสัปดาห์การทำงาน ในขณะที่พนักงานอีก 21% เป็นกลุ่มที่มีความคิดเห็นในทางตรงกันข้าม คือต้องการที่จะทำงานที่สำนักงานทั้ง 5 วันหรือทำงานที่บ้านแค่เพียง 1 วัน นอกจากนี้ ยังพบว่าจากการสำรวจคนที่มีบุตร ก็มีความต้องการทำงานที่บ้านมากกว่าเป็นกลุ่มผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ซึ่งก็น่าจะเป็นสาเหตุจากการรับผิดชอบในการเลี้ยงดูบุตรของผู้หญิง

ผู้บริหารองค์กรในยุคปัจจุบัน ก็มีความเชื่อในการทำงานแบบเน้น “ผลลัพธ์” มากกว่า “สถานที่” ในการทำงาน แต่สิ่งที่บทความข้างต้นได้นำเสนอทิ้งท้ายเอาไว้คือเรื่องการกำหนดนโยบายการบริหารคนแบบ WFH ที่อาจเป็นประเด็น ยกตัวอย่างเช่น การที่ให้พนักงานใหม่มาเริ่มงานแบบ WFH จะทำให้พนักงานรู้สึกโดดเดี่ยวหรือทำงานกับผู้อื่นได้ยากหรือไม่ และการที่ให้พนักงานเลือกวันทำงาน WFH เอง อาจทำให้พนักงานขาดปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานเพราะไม่ได้มีการตกลงกันอย่างชัดเจนว่าจะมีวันไหนที่ให้ทุกคนได้เจอกันบ้าง รวมถึงในเรื่องการบริหารอาคารสถานที่ ก็อาจจะทำได้ยาก ถ้าไม่ได้มีข้อมูลที่ชัดเจนในการบริหารการใช้พื้นที่สำนักงานอย่างเหมาะสม ทำให้เกิดการเช่าพื้นที่สำนักงานที่มากเกินความจำเป็น หรืออาจจะน้อยกว่าความจำเป็นในบางกรณี แม้ว่าจากรายงานผลการวิจัยของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา (National Bureau of Economic Research) จะพบว่าแรงงานอเมริกันมี Productivity ที่สูงขึ้น 5% จากการทำงานแบบ Work from home ก็ตาม แต่นี่เป็นผลชี้วัดเพียงระยะสั้นในช่วงนี้เท่านั้น

สำหรับแนวคิดเรื่องการประกาศใช้นโยบาย Work from home (WFH) ก็ดูเหมือนว่ากำลังจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน การทำงานแบบ WFH เกิดขึ้นในช่วงที่คนไม่สามารถออกไปทำงานนอกสถานที่ได้อย่างอิสระจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ทำให้บางสถานที่ทำงานเช่น Co-Working Space ร้านกาแฟ หรือห้องสมุด ไม่เปิดให้บริการตามปกติ แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายคำว่า “WFH” น่าจะเปลี่ยนไปเป็นคำว่า “Work from anywhere” (WFA) มากกว่า Spotify ผู้บริการ Music Streaming ระดับโลก เป็นองค์กรแรกๆ ที่เริ่มใช้คำว่า WFA มีคำจำกัดความที่ง่ายต่อการเข้าใจว่า 1) การทำงานเป็นกิจกรรรม ไม่ใช่สถานที่ เพราะฉะนั้นไม่ควรจำกัดการทำงานที่จำนวนชั่วโมงการทำงานในสำนักงาน 2) การให้ผู้คนมีอิสระและความยืดหยุ่นในการทำงาน จะทำให้เขาเลือกรูปแบบการทำงานที่ส่งเสริมให้เขามี Productivity สูงขึ้นในแบบที่พวกเขาต้องการ สิ่งที่องค์กรต้องทำก็คือการวางนโยบาย กระบวนการ วิธีการทำงาน อุปกรณ์และเครื่องมือที่ช่วยให้คนทำงานร่วมกันและสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ Chief People Officer ของ Salesforce บริษัทที่ใช้นโยบาย WFA เช่นเดียวกัน กล่าวว่า “ถึงคราวอวสานของการทำงานแบบ เข้างาน 9 โมงเช้า เลิกงาน 5 โมงเย็น และประสบการณ์ในการทำงานของพนักงานแต่ละคนมีความสำคัญมากกว่าการให้กินขนมฟรีและการมีโต๊ะปิงปองในที่ทำงาน” จากที่แสดงให้เห็นข้อมูลทั้งหมด หากองค์กรเลือกที่จะใช้แนวทางนี้คงจะต้องวางนโยบายและพิจารณาถึงประสบการณ์ที่ดีในการทำงานของพนักงาน และผลกระทบต่างๆในระยะยาวอย่างรอบคอบต่อไป

เราควรคำนึงถึงเรื่องอะไรบ้างก่อนที่จะร่างนโยบาย WFA

การออกนโยบาย WFA มีผลดีมากมายในด้านการตอบสนองความต้องการของพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นการอยู่กับครอบครัว การประหยัดค่าใช้จ่ายจากการหาที่พักที่ราคาถูกบริเวณชานเมือง การลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง การสร้างสมดุลในชีวิตให้กับพนักงานจากการที่ไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางมาทำงานในแต่ละวัน การช่วยให้พนักงานฝีมือดี ที่ต้องติดตามไปอยู่กับครอบครัวตามสถานที่ต่างๆในโลก สามารถทำงานกับองค์กรต่อไปได้ การคัดเลือกพนักงานที่เป็น Talent จากทั่วโลกเนื่องจากไม่มีการบังคับให้เข้ามาทำงานที่สำนักงาน รวมถึงไม่ต้องติดปัญหาเรื่องเอกสารหรือ Work permit ในการทำงานอีกต่อไป แต่ในส่วนของสิ่งที่ต้องคำนึงถึงก่อนที่เราจะเริ่มร่างนโยบายก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

ความเท่าเทียม องค์กรจะต้องมั่นใจว่าธุรกิจจะต้องเดินต่อได้ไม่สะดุด พนักงานทุกตำแหน่งอาจไม่สามารถทำงานแบบ WFA ได้ จะต้องพิจารณาความจำเป็นหรือจะต้องแบ่งประเภทของงานที่สามารถ WFA ได้ ไม่จำเป็นว่าทุกประเภทงานจะให้ WFA ได้เสมอ ซึ่งจะต้องเป็นสิ่งพื้นฐานที่พนักงานเข้าใจตรงกันก่อนเริ่มทำนโยบาย

การสื่อสาร องค์กรจะต้องมั่นใจว่าพนักงานได้รับการสื่อสารในเรื่องที่สำคัญ โดยการกำหนดช่องทางการสื่อสารในแต่ละเรื่อง และความถี่ในการสื่อสารจากองค์กรอย่างชัดเจน รวมถึงช่องทางในการรับ Feedback จากพนักงานและแนวทางหรือขั้นตอนการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ

การติดตามผลการปฏิบัติงาน องค์กรจะต้องมั่นใจเรื่องการติดตามผลการปฏิบัติงานของพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นการติดตามจากการบันทึกเวลาในการทำงานในแต่ละวันของพนักงาน การรายงานความคืบหน้าของงานตามเป้าหมาย และการดูแลพัฒนาผลการปฏิบัติงานของพนักงานจาก Line Manager มีการดูแลอย่างต่อเนื่อง

การเรียนรู้และพัฒนา และการเติบโตของพนักงาน องค์กรจะต้องมั่นใจว่าพนักงานได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และองค์กรจะมีแนวทางในการพัฒนาพนักงานรูปแบบใดบ้าง องค์กรจะต้องให้การสนับสนุนการเติบโตภายในองค์กรกับพนักงานที่ทำงานที่สำนักงานเป็นหลัก หรือนอกสถานที่เป็นหลัก ได้อย่างเท่าเทียม

การปฏิสัมพันธ์กันของพนักงาน องค์กรจะต้องมั่นใจว่าพนักงานจะไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวจากการทำงานแบบ WFA เป็นระยะเวลานาน ๆ โดยเฉพาะพนักงานใหม่ที่เพิ่งเริ่มงาน ในบางองค์กรมีการติดตามเรื่องการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างพนักงานด้วยการใช้ข้อมูลจากระบบสารสนเทศระบบต่างๆ ทั้งนี้ ก็ควรให้ความสำคัญกับการไม่ไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของพนักงานด้วยเช่นกัน

เทคโนโลยีสนับสนุน องค์กรจะต้องมั่นใจว่าพนักงานมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้ทำงานได้เสมือนว่านั่งทำงานในสำนักงาน การสนับสนุนในการซ่อมแซมอุปกรณ์ หรือการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ จะต้องถูกจัดไว้อย่างสมบูรณ์

องค์ประกอบที่ควรจะมีในการกำหนดนโยบาย WFA

กลุ่มพนักงานที่สามารถ WFA กำหนดประเภทของงานหรือตำแหน่งงานที่สามารถทำงานแบบ WFA ได้ และเปิดโอกาสให้มีการทบทวนได้อยู่เสมอ

ช่วงเวลา และจำนวนชั่วโมงการทำงาน กำหนดช่วงเวลาทำงานที่ชัดเจน เช่น วันที่สามารถทำงานแบบ WFA ได้หรือวันที่ทุกคนต้องเข้ามาที่สำนักงาน กรณีที่พนักงานอยู่ต่าง Time Zone ควรใช้เวลาท้องถื่นของแต่ละพื้นที่เพื่อป้องกันการสับสนในการทำงาน ส่งเสริมให้มีการใช้เทคโนโลยีในการแสดงสถานะความพร้อมในการรับการติดต่อ เช่น การกำหนด Status Away ในเครื่องมือหลักที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารในองค์กร เมื่อไม่สะดวกในการรับการติดต่อ การกำหนดช่วงเวลาการทำงานในแต่ละวันให้ชัดเจนกับพนักงาน จะช่วยให้พนักงานสามารถแยกแยะช่วงเวลาการทำงาน และช่วงเวลาการพักผ่อน และช่วยลดการ Burn out จากการทำงานแบบ WFA เนื่องจากสามารถจัดการชีวิตของตัวเองในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี

การสื่อสารในองค์กร กำหนดแนวทางการใช้เครื่องมือเพื่อการสื่อสารในการทำงาน เช่น การใช้อีเมลล์สำหรับการส่งข้อความจำนวนมากและเรื่องที่เป็นทางการ ใช้โปรแกรม Chat สำหรับการติดต่อแบบไม่เป็นทางการหรือต้องการความรวดเร็ว นอกจากนี้อาจมีการกำหนดมาตรฐานในการติดต่อผ่านช่องทางต่างๆ เช่น ตอบอีเมลล์ภายใน 1 วัน หรือตอบ Chat ภายใน 3 ชั่วโมง เป็นต้น

การใช้เทคโนโลยี องค์กรควรจะกำหนดแนวทางการใช้เทคโนโลยีของบริษัท เช่น การระบุ Website ที่พนักงานสามารถใช้งานได้จากเครื่องคอมพิวเตอร์ขององค์กร วิธีการติดต่อทีมงาน IT เพื่อแก้ไขปัญหาในด้าน Program หรือ Software พร้อมกับวิธีการติดต่อซ่อมเครื่องคอมพิวเตอร์กรณีที่มีการชำรุดเสียหาย

ระเบียบความปลอดภัยด้านข้อมูล การกำหนดระเบียบการเข้าถึงข้อมูล นอกจากจะช่วยป้องกันความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูลของบริษัทแล้ว ยังเป็นการป้องกันข้อมูลให้กับลูกค้าด้วย การเข้าถึงข้อมูลภายในควรกำหนดให้มีระบบเข้ารหัสเช่น VPN หรือการงดการเชื่อมต่อ Hard drive ผ่านพอร์ต USB นอกจากนี้องค์กรควรมองต่อไปถึงเรื่องสถานที่ในการทำงานสำหรับงานที่จะต้องใช้ข้อมูลลับ พนักงานควรระวังเรื่องสถานที่การทำงาน เช่น ไม่ควรทำงานใน Co-Working Space หรือร้านกาแฟ ขณะที่กำลังทำข้อมูลลับขององค์กร เพื่อลดความสุ่มเสี่ยงกับการถูกคัดลอกข้อมูลหรือมีข้อมูลลับหลุดออกสู่สาธารณชน และพนักงานไม่ควรจดบันทึกข้อมูลลูกค้าในกระดาษและทิ้งไว้บนโต๊ะทำงานแม้เป็นที่ทำงานในบ้านของตัวเอง

มารยาทการประชุม การประชุมแบบออนไลน์สำหรับพนักงานที่ WFA สิ่งที่ควรคำนึงถึงมีหลายประการ การกำหนด Dress Code ของทีมงานในการประชุมที่สำคัญ เช่น การพบกับลูกค้า หรือการประชุมกับผู้บริหาร การปิดไมโครโฟนระหว่างที่เป็นผู้ฟังในการประชุม การไม่ทำกิจกรรมอื่นระหว่างการประชุมซึ่งอาจจะส่งเสียงรบกวนการทำงานได้ การใช้หูฟังเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการฟังและการพูดในที่ประชุม และก่อนที่จะถึงเวลาในการประชุม ควรจะเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างน้อยประมาณ 5 นาที เพื่อจัดเตรียมไฟล์ที่จะใช้ในการนำเสนอ หรือเตรียมความพร้อมในการเข้าประชุม

กระบวนการในการอนุมัติ กรณีที่องค์กรไม่ได้ให้พนักงานทำงานแบบ WFA 100% ในการทำงาน องค์กรควรกำหนดอำนาจในการอนุมัติการทำงานแบบ WFA ให้ชัดเจน ในการให้สิทธิ WFA อาจจะให้มีการขออนุมัติตามช่วงระยะเวลาที่กำหนด เช่น ขออนุมัติทุกเดือน หรือขออนุมัติปีละ 1 ครั้ง

การเบิกค่าใช้จ่าย กำหนดแนวทางการเบิกค่าใช้จ่าย เช่น วิธีการเบิกค่าใช้จ่าย เอกสารประกอบ และสถานที่รับเอกสาร เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพนักงาน

การทำกิจกรรมร่วมกัน กำหนดให้มีกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ เช่น การ Townhall เพื่อรายงานสถานการณ์ขององค์กร หรือการจัดกิจกรรมที่ทำให้คนได้พบปะสังสรรค์กันบ้าง ไม่ว่าจะเป็นแบบ Online หรือ Offline และอาจจะมีการส่งเสริมให้คนเข้ากิจกรรม เช่น เข้ากิจกรรมอย่างน้อย 1 ครั้ง/ไตรมาส และสำหรับพนักงานใหม่อาจจะให้เข้ากิจกรรมอย่างน้อย 1 ครั้ง ในช่วงที่ทดลองงาน การจัดกิจกรรมอาจจะจัดเป็น Virtual Meeting Coffee Break ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สามารถจัดให้คนเข้าร่วมได้บ่อยๆ

การประเมินผลการปฏิบัติงาน ในการทำงานแบบ WFA องค์กรควรจะกำหนดกระบวนการบริหารผลการปฏิบัติงานของพนักงาน ทั้งในเรื่องของระบบที่ใช้ในการติดตามผลงาน การส่งรายงานความคืบหน้า และความถี่ในการรายงาน เพื่อให้ได้ผลงานตามที่องค์กรต้องการ ควรใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการติดตามผลงาน เนื่องจากแต่ละคนทำงานอยู่กันคนละสถานที่ อาจจะไม่สะดวกหากการประเมินผลการปฏิบัติงานยังเป็นรูปแบบกระดาษ

บทสรุปของบทความนี้ จากคำถามตอนต้นว่า เราควรปล่อยให้พนักงานเลือกวัน WFH เองหรือไม่? ซึ่งถูกตั้งคำถามเรื่องการบริหารจัดการความโดดเดี่ยวของพนักงาน รวมถึงการบริหารพื้นที่สำนักงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากพนักงานรู้สึกโดดเดี่ยว องค์กรก็สามารถจัดกิจกรรมที่ให้พนักงานเข้ามามีส่วนร่วมแบบ Online หรือใช้บทบาทของผู้บริหารในการบริหารทีมงานแบบทางไกล ช่วยสอบถามและคลายข้อกังวลใจในการทำงานของพนักงาน และสำหรับการบริหารพื้นที่สำนักงานให้เพียงพอกับจำนวนผู้ใช้งาน องค์กรอาจใช้การสำรวจความต้องการในการเข้าสำนักงานในแต่ละปตามความประสงคีของพนักงาน์ เพื่อให้สามารถจัดสรรการเช่าพื้นที่ล่วงหน้าได้ ในแต่ละองค์กรอาจจัดพื้นที่โต๊ะทำงานส่วนกลาง (Hot Desk) สำหรับพนักงานที่จำเป็นจะต้องเข้ามาทำงานที่สำนักงานแบบชั่วคราว หรืออาจจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้กับพนักงานในการใช้ Co-Working Space ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตามงบประมาณที่กำหนดให้ในแต่ละปี เพื่อให้พนักงานมีทางเลือกในเรื่องสถานที่การทำงานเพิ่มมากขึ้น

การมีนโยบาย WFA มีข้อดีอยู่มากมาย ซึ่งเป็นประโยชน์กับพนักงานและกับองค์กร หัวใจสำคัญในการใช้นโยบายนี้อยู่ที่วิธีคิดของผู้บริหาร ไม่ควรตัดสินว่าใครเป็นมนุษย์สำนักงาน หรือมนุษย์ที่ทำงานนอกสถานที่ องค์กรควรสร้างความโปร่งใสในการดูแลพนักงาน การให้โอกาสในการเติบโตของพนักงานที่เท่าเทียมกันไม่ว่าจะทำงานรูปแบบใด เมื่อประกาศใช้นโยบายเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ควรเปิดใจรับฟังเสียงของพนักงาน และมีความเชื่อว่านโยบายต่างๆ ที่มีการประกาศไป สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมได้ตลอดเวลา

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

อ้างอิง

Don’t Let Employees Pick Their WFH Days

https://hbr.org/2021/05/dont-let-employees-pick-their-wfh-days

Work From Home to Lift Productivity by 5% in Post-Pandemic U.S.

https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-04-22/yes-working-from-home-makes-you-more-productive-study-finds

Our Work-from-Anywhere Future

https://hbr.org/2020/11/our-work-from-anywhere-future

Spotify joins Salesforce in adopting a “WFA” (work from anywhere) policy

https://qz.com/work/1972103/spotify-salesforce-adopt-wfa-work-from-anywhere-policies/

First There Was WFH—Now It’s WFA

https://www.forbes.com/sites/enriquedans/2021/02/16/first-there-was-wfh-now-itswfa/?sh=7720b2865249

Work-from-home-policy

https://teambuilding.com/blog/work-from-home-policy

Tag:
No items found.
Share this post:
ชินภัทร์ สุวรรณพุ่ม

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024