>
Economics & HR Challenge
December 17, 2020

Economics & HR Challenge

แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทยมีแนวโน้มชะลอตัว สาเหตุเพราะผลิตภาพจากแรงงาน (Labor Productivity) ที่ขยายตัวในอัตราที่ต่ำ สินค้าส่งออกของไทยยังขาดนวัตกรรม อาศัยค่าเงินอ่อน ค่าแรงถูก และการได้รับสิทธิพิเศษด้านภาษีนำเข้า เพื่อให้สามารถขายของได้ในราคาที่ไม่แพง เรามีการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&D) น้อยมาก ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ หรือแม้กระทั่งในกลุ่มประเทศอาเซียนเองก็ตาม

หากต้องการที่จะก้าวพ้นการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ เราต้องมีการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีอนาคตมากขึ้น ปรับเปลี่ยนรูปแบบสินค้า ยกระดับการผลิตในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ให้สูงขึ้นโดยเฉพาะสินค้าทางด้านการเกษตร ตัวอย่างเช่น ยางพารา หากขายเป็นน้ำยางดิบก็จะมีปัญหาเรื่องราคา แต่หากเป็นยางพาราที่แปรรูปแล้วก็จะขายได้ในราคาที่สูงขึ้น เป็นต้น การยกระดับการผลิตห่วงโซ่คุณภาพต้องอาศัยการพัฒนาด้านบุคคลากรรวมทั้งงานวิจัยที่สร้างนวัตกรรม เพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันทางธุรกิจให้สูงขึ้น

ทิศทางหรือแนวโน้มเมื่อเปิดเสรีทางการค้าของ Service Industry และ Banking ของไทยเป็นอย่างไร

ผลกระทบทางธุรกิจจากการก้าวเข้าสู่ AEC น่าจะมีอยู่ 2 เรื่อง คือ 1) การเปิดให้นักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนหุ้นในภาคบริการได้มากขึ้น เดิมทีอยู่ที่ 40% ก็จะขยายออกเป็น 70% และ 2) เรื่องของแรงงานวิชาชีพ ที่อาจประสบปัญหาการขาดแคลนในบางจุด

สำหรับประเด็นแรกในเรื่องของการเปิดเสรีทางการค้าในภาคบริการ นักลงทุนในอาเซียนจะมองไปยังประเทศที่มีโอกาสทำกำไรจากการลงทุนในธุรกิจบริการ ในกลุ่มประเทศอาเซียน สิงคโปร์ มาเลเซีย อัตราทำกำไรในธุรกิจบริการค่อนข้างสูง สำหรับประเทศไทย นักลงทุนต่างชาติปัจจุบันถือครองหุ้นได้ถึง 40% แต่ในข้อเท็จจริง พบว่าภาคบริการส่วนใหญ่สัดส่วนการถือครองหุ้นของชาวต่างชาติมีอยู่เพียง 10-15% เท่านั้น เนื่องจากหลายธุรกิจไม่ได้ทำกำไรมาก เช่น ธุรกิจจำหน่ายเสื้อผ้า บริการสื่อสิ่งพิมพ์ โฆษณา โทรทัศน์ ทีวีดิจิตอล ฯ ดังนั้นหลังเปิด AEC เมื่อขยายสัดส่วนการถือครองไปถึง 70% ก็ไม่ค่อยน่ากังวลเท่าไหร่ว่าจะมีต่างชาติเข้ามาลงทุนมากจนครอบงำกิจการ แต่ก็มีบางภาคธุรกิจที่มีการลงทุนและถือครองหุ้นเกือบเต็ม 40% เช่น ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ร้านค้าปลีก ร้านบรรจุภัณฑ์ โรงแรม  รีสอร์ท ซึ่งแน่นอนที่ธุรกิจเหล่านี้หากมีการขยายสัดส่วนการถือครองหุ้นไปถึง 70% ก็ย่อมมีชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนถือหุ้นเพิ่มเติมอย่างแน่นอน

ในประเด็นถัดมาคือเรื่องของแรงงานวิชาชีพ การเปิดเสรีทางด้านการเคลื่อนย้ายแรงงานวิชาชีพ อาจมีผลกระทบที่มีนัยสำคัญมากกว่า โดยเฉพาะวิชาชีพเช่น แพทย์ ซึ่งสามารถเลือกที่จะไปทำงานในประเทศที่ให้ค่าตอบแทนสูง โอกาสของคนไทยในการเข้าถึงแพทย์เก่งๆ ก็จะยากขึ้น เพราะแพทย์เหล่านี้ คงเดินทางไปมาตามโรงพยาบาลต่างๆ ใน อาเซียนซึ่งก็เป็นไปตามอัตราจ้างของโรงพยาบาลที่จะดึงดูดแพทย์ที่มีฝีมือไปปฏิบัติหน้าที่ให้กับโรงพยาบาลนั้นๆ ส่งผลต่อการนัดหมายที่ยากขึ้น และราคาค่าบริการทางการแพทย์ก็คงสูงขึ้นตามไปด้วย

อีกมุมหนึ่ง เมื่อมีการเปิดเสรี ก็อาจส่งผลกระทบในด้านบวกเช่นกัน โดยเฉพาะทางด้านการศึกษา โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษานานาชาติจะเข้ามาเปิดมากขึ้น อัตราการแข่งขันสูงขึ้น เพื่อดึงดูดนักเรียนให้เข้าไปศึกษา ก็ย่อมส่งผลต่อการพัฒนาของโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาทำให้คุณภาพทางการศึกษาในประเทศดีขึ้น

ในภาคการเงิน แบงก์ชาติเองได้ให้การสนับสนุนธนาคารพาณิชย์ ที่ผ่านมาตรฐาน QAB (Qualified ASEAN Banks) สามารถที่จะขยายการดำเนินธุรกิจไปยังประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียนได้ ในขณะเดียวกันธนาคารกลางต่าง ๆ ก็ต้องกำหนดข้อตกลงร่วมกันว่าจะอนุญาตให้ธนาคารที่เป็น QABs เข้ามาดำเนินการมากน้อยแค่ไหน จะต้องคำนึงถึงความพร้อมของประเทศสมาชิกในการกำกับดูแล และรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจด้วย

ความท้าทายในงาน HR

การเปลี่ยนแปลงหลัง AEC ที่ถือว่าเป็นโอกาส คือ กลุ่มชนชั้นกลางมีการเติบโตเพิ่มมากขึ้น คำถามที่ตามมาคือ เราจะสร้างสภาพแวดล้อมอย่างไรให้เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แนวโน้มที่จะเห็น อันดับแรกคือ การรวมศูนย์การผลิตสินค้าจะเด่นชัดมากขึ้น เช่นประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์ผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ อินโดนีเซียด้านอาหารทะเล มาเลเซียทำเรื่องไอที เป็นต้น เรื่องที่สองคือการเกิดบริการในรูปแบบใหม่ๆ เช่น การจัดงานแต่งงานให้ชาวจีนหรืออินเดีย ที่เชียงใหม่ ภูเก็ต หรือการจัดหาบ้านหลังที่สองสำหรับชาวต่างประเทศที่เข้ามาทำงาน รวมทั้งตลาดกลุ่มผู้สูงอายุที่เกษียณแล้วอยากไปอยู่ในประเทศที่ค่าใช้จ่ายไม่แพง เป็นต้น เรื่องสุดท้ายคือ เกิดการย้ายถิ่นของแรงงานอาเซียนและเกิดการรวมตัวเป็น community ย่อยๆ ในเมืองทำให้มีตลาดและบริการเฉพาะต่าง ๆ ตามมา

นอกจากโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ สิ่งท้าทายที่จะตามมา คือ การขาดแคลนแรงงานในบางวิชาชีพ เนื่องจากการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกประเทศต้องให้เงินเดือนและค่าตอบแทนในอัตราที่เท่ากัน ซึ่งตามสภาพความเป็นจริงยังมีความแตกต่างกันอยู่ในแต่ละประเทศ ทั้งอัตราเงินเฟ้อ ค่าเงิน รวมไปถึงค่าครองชีพ เพราะอาเซียนเองไม่ได้เป็นแบบ EU ที่ใช้ Single Currency กฎระเบียบทางการเงินและศุลกากรร่วมกัน สมมุติว่าค่าตอบแทนของนักบัญชีในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย สูงกว่าประเทศไทยสามเท่า แต่ค่าครองชีพก็สูงเช่นกัน คนก็อาจไม่อยากไปอยู่ก็ได้ ในประเทศสิงคโปร์เองกำลังเผชิญกับสังคมผู้สูงอายุที่กำลังขยายตัวเพิ่มมากขึ้นจากปัจจุบัน 16% ภายในปี 2025 และ 2050 จะเพิ่มเป็น 30% และ 35% ตามลำดับ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศ เพื่อรองรับกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลกระทบในวงกว้างในเรื่องของการแข่งขันดึงดูดแรงงานวิชาชีพที่ขาดแคลน

ปัญหาและความท้าทายในงาน HR คือเรื่องของคุณสมบัติทางวิชาชีพ สมมุติเราพูดถึงเรื่องของการเป็น HR Professional เราใช้เกณฑ์อะไร แล้วเกณฑ์ที่ว่านี้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลหรือไม่ จึงทำให้มีการทำข้อตกลงร่วม ที่เรียกว่า Mutual Recognition Agreement หรือ MRA เพื่อกำหนดมาตรฐานวิชาชีพร่วมกัน แต่ก็ยังเกิดปัญหาการกีดกันในวิชาชีพต่างๆ อยู่ เช่น หากจะประกอบอาชีพแพทย์ในไทยก็ต้องสอบใบอนุญาต ซึ่งบางส่วนเป็นข้อสอบภาษาไทย ซึ่งในประเทศอื่นๆ ก็ทำแบบเดียวกัน

ความท้าทายเรื่องถัดมา คือการสร้างและการเตรียมความพร้อมความฉลาดรอบรู้ทางวัฒนธรรม (Cultural Intelligent) ซึ่งให้ถือเรื่องนี้เป็นโอกาส นอกจากการให้พนักงานได้มีการปรับตัวแล้วต้องให้พนักงานทำหน้าที่เป็น Band Ambassador ขององค์กรด้วย สามารถถ่ายทอดวัฒนธรรมของประเทศเราให้กับประเทศอื่นๆ ที่เดินทางไปปฏิบัติงาน ในการช่วยพนักงานในการปรับตัวนั้น HR ควรจัดทำคู่มือ แต่คำแนะนำต่างๆ อย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ต้องนำครอบครัวของพนักงานมาร่วมรับฟังด้วย เช่น เมื่อพนักงานต้องไปทำงานที่อินเดีย ก็พาครอบครัวเข้ามาร่วมรับฟังว่าในการไปอยู่ประเทศอินเดียควรปฏิบัติตัวอย่างไร มีข้อจำกัดอะไรบ้าง และถ้าหากได้พนักงานที่เป็นคนประเทศนั้นๆ มาอธิบายเพิ่มเติมก็ จะดีมาก เนื่องจากเป็นคนในพื้นที่สามารถให้รายละเอียดต่างๆ ที่ควรปฏิบัติได้ครบถ้วน ทราบว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรปฏิบัติ คำพูดใดควรระวัง สถานที่ไหนควรหรือไม่ควรไป ซึ่งถือเป็นการสร้างความฉลาดรอบรู้ทางวัฒนธรรมได้อย่างรวดเร็ว

อีกเรื่องของความท้าทายในงาน HR คือ การบริหารความหลากหลาย (Diversity Management) นอกเหนือจากเพศ และอายุแล้ว สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือเรื่องของสีผิว กับศาสนา ในบ้านเราอาจไม่พบเจอกับประเด็นเหล่านี้มากนัก แต่หากไปปฏิบัติงานในอเมริกา แอฟริกาใต้ เรื่องสีผิวถือเป็นสิ่งที่สำคัญ หรือไปในประเทศที่เรื่องศาสนาเป็นประเด็นสำคัญ HR จำเป็นต้องมีความฉลาดรอบรู้ในวัฒนธรรมเพื่อบริหารความหลากหลายเหล่านี้ไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นกับพนักงาน หรือแม้แต่ในกลุ่มประเทศอาเซียนเราเองก็ตาม ลาว พม่า หรือประเทศอื่นๆ ต่างก็มีวัฒนธรรมที่เราต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ

สิ่งอื่นที่ท้าทายนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ก็คือเรื่องการสรรหาบุคลากร ถ้าพูดง่ายๆ ก็คงเป็นเรื่องของการแข่งขันในตลาดแรงงานที่สูงขึ้น เนื่องจากพอเปิดเสรีแล้ว ตลาดแรงงานก็จะไม่ใช่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่เป็นตลาดที่เป็นวงขยายไปทั้งกลุ่มประเทศอาเซียน ดังนั้นหากเราไม่สามารถที่จะดึงดูดคนเก่งที่มีฝีมือเข้าองค์กรได้แล้วก็จะสูญเสียโอกาสทางการแข่งขันไป โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นวิชาชีพ เช่นวิศวกรขุดเจาะน้ำมัน ที่สามารถไปทำงานที่ใดก็ได้ในแถบประเทศอาเซียน ในการสรรหาพนักงาน HR ต้องเลือกพนักงานในลักษณะที่เป็นแบบ Global Workforce คือจ้างมาแล้วมี Global Competency นั่นหมายถึงต้องใช้ภาษาอังกฤษหรือภาษาที่สองได้คล่อง สามารถปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมต่างๆ ได้ สามารถโยกย้ายไปทำงานที่ไหนก็ได้ นอกจากนี้เทคโนโลยีก็มีส่วนสำคัญ HR ต้องรู้จักใช้เทคโนโลยีช่วยในการบริหารจัดการให้มากที่สุด ลดการทำงานแบบ Administration ลง มี Self-Learning ทั้งความรู้ในงานและที่ไม่ใช่ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวก็คือความท้าทายที่ HR จะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ

HR ต้องมีการวางกลยุทธ์ใดบ้าง

ควรหันมาให้ความสำคัญในเรื่องของงาน Expat Administration ซึ่งหลายองค์กรยังคงไม่ได้ทำในเรื่องนี้จริงจัง คือ การดูแลบุคลากรที่ไปทำงานในต่างประเทศและบุคลากรที่เข้ามาทำงานในประเทศ ควรมีการจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบอย่างเป็นรูปธรรม ก่อนหน้านี้เราอาจไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก เนื่องจากมีบุคลากรที่ออกไปทำงานในต่างประเทศและเข้ามาทำงานไม่มากนัก ในอนาคตหลัง AEC คงต้องพิจารณาเรื่องนี้ให้มากขึ้น เพราะภาระงานตรงนี้มีมากและซับซ้อนต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น เรื่องข้อกฎหมายระหว่างประเทศ การจ่ายภาษี เรื่องใบอนุญาตทำงานที่ต้องมีการต่ออายุเป็นระยะๆ การจ่ายค่าตอบแทนและการคำนวณ Country Risk Premium รวมถึงการดูแลครอบครัวของบุคลากรเหล่านี้ด้วย จึงจำเป็นต้องมีหน่วยงานมารับผิดชอบและดูแลให้เกิดความสะดวกในระหว่างการโยกย้ายและเริ่มต้นงานในสถานที่ใหม่

การกำหนดเงินเดือนให้กับบุคลากรที่ออกไปทำงานในต่างประเทศ ก็ต้องมีการสำรวจตลาด ซึ่งคล้ายกับการสำรวจอัตราค่าจ้าง (Salary Survey) หรืออาจซื้อข้อมูลจากหน่วยงานกลางที่มีข้อมูลเปรียบเทียบค่าครองชีพของแต่ละประเทศ รวมทั้งปัจจัยความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการทำงานในประเทศนั้นๆ เมื่อกลับมาทำงานที่ประเทศไทยก็ตัดส่วนที่จ่ายเพิ่มขึ้นออก แล้วกลับมาใช้โครงสร้างเงินเดือนเดิมในประเทศไทย นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของภาระหน้าที่ที่ต้องมีหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบ บริหารจัดการให้กับบุคลากรเหล่านี้

การบริหารจัดการเรื่อง Compensation & Benefits ที่เน้นเรื่องของ Cash ให้มากขึ้น โดยนำไปเชื่อมโยงกับผลการปฏิบัติงาน (Performance) พยายามลดเรื่องสวัสดิการที่ต้องมีภาระผูกพันยาวนาน เช่น สวัสดิการเงินกู้ที่อยู่อาศัย แปลงไปให้อยู่ในรูป Total Cash ให้หมดเพื่อให้ตรงใจกับ Gen Y ซึ่ง Total Cash ที่ว่านี้คือ โบนัส เงินช่วยเหลือ รวมทั้งสวัสดิการต่างๆ ที่สามารถแปลงเป็น Cash และให้ On top ของเงินเดือน กรณีคนรุ่นใหม่ที่ต้องการค่าตอบแทนและสวัสดิการทั้งหมดเป็นตัวเงิน และไม่ต้องการผูกพันกับองค์กรเป็นระยะเวลานานๆ รูปแบบของการจ่ายค่าตอบแทนก็ต้องยืดหยุ่นมากขึ้นอาจไม่ใช่การจ้างเป็นพนักงาน แต่เป็นพนักงานสัญญาจ้าง (Contractor) เนื่องจากไม่ต้องกังวลในเรื่องของสวัสดิการมากนัก HR จะจ่าย Variable Pay เชื่อมโยงกับ Performance ข้อดีของการทำแบบนี้คือสามารถบริหาร Performance พนักงานสัญญาจ้าง ให้อิงกับผลการปฏิบัติงานโดยตรง หากทำได้ดีกว่าเป้าหมายก็จะได้รับโบนัสที่สูงกว่าพนักงาน เพราะไม่มี Benefits ให้ ซึ่งเป็นอีกวิธีที่จะดึงดูดคนที่มีความสามารถแต่ไม่ต้องการความผูกพันระยะยาวเข้ามาร่วมงานด้วย

ในเรื่องของสวัสดิการที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่นับวันจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จำต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบจากเดิมที่เคยจ่ายแบบเป็นกองกลาง ใครป่วยมากก็ได้ใช้มาก ใครไม่ป่วยเลยก็ไม่ได้ใช้ ควรจะปรับเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นลักษณะป่วยมากจ่ายมาก ป่วยน้อยจ่ายน้อย เพื่อให้พนักงานรู้จักดูแลสุขภาพ และเกิดความยุติธรรมระหว่างพนักงานที่ได้ใช้กับไม่ได้ใช้ แต่ประเด็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในส่วนของพนักงานที่มีรายได้น้อย แต่ป่วยมาก ซึ่งก็อาจจะไม่สามารถรองรับเรื่องค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้ ก็เป็นสิ่งที่ HR ต้องนำไปคิดและหาวิธีการที่เหมาะสมเพื่อรองรับในกรณีดังกล่าว เช่น การซื้อประกัน เป็นต้น

สิ่งที่ HR ควรจะตระหนักและเตรียมตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง

เรื่องปัญหาการขาดแคลนแรงงานวิชาชีพ ผมมองว่าค่อนข้างเป็นปัญหาใหญ่ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับกลุ่มที่เป็นแรงงานทักษะ (Skill) ช่างเทคนิคต่างๆ เนื่องจากประเทศไทยไม่ค่อยสนับสนุนการศึกษาในระดับนี้เท่าที่ควร และเน้นผลักดันให้เข้าสู่การศึกษาในระดับปริญญาตรีมากกว่าช่างเทคนิค ต่างจากในประเทศเยอรมันที่ให้ความสำคัญกับกลุ่มช่างเทคนิค แรงงานที่มีทักษะเฉพาะทางมากกว่า ในประเทศไทยเรามีการจ่ายเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา ทั้งที่ขาดแคลนแรงงานในกลุ่มช่างเทคนิค ซึ่งถ้ามองแล้วก็ยิ่งสร้างปัญหา กลุ่มคนในระดับปริญญาตรีเรียกได้ว่าล้นตลาดอยู่แล้ว แต่ก็ยังสนับสนุนทางอ้อม โดยจ่ายเงินเดือนตามวุฒิที่จบ อีกทั้งยังมีเงินกู้ยืมให้เรียนสูงขึ้น เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ HR ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิต ควรหาทางออก เช่น ร่วมกับสถาบันการศึกษาด้านวิชาชีพพัฒนาช่างฝีมือเอง เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานทักษะในอนาคตที่มีแนวโน้มสูงขึ้น

ในการเข้าสู่ AEC ผู้ที่ทำงาน HR ควรเน้นให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างศักยภาพและวางมาตรฐานต่างๆ ทั้งในเชิงสถาบัน (Institutional Building) และเชิงบุคลากร (Personal Building) HR จะต้องมีส่วนร่วมในการกำหนดกลยุทธ์ เช่น เร่งการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน สนับสนุนการใช้เทคโนโลยี สร้างวัฒนธรรมการปฏิบัติงานที่เป็นเลิศ (Best Practices) เสริมสร้างระบบข้อมูลรวมทั้งการวางแผนกำลังคนและปรับปรุงคุณภาพแรงงานในระยะยาว

Tag:
No items found.
Share this post:
ดร.ณัฐวุฒิ พงศ์สิริ

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024