>
ประเมินผลอย่างไรในยุค Covid-19
October 18, 2021

ประเมินผลอย่างไรในยุค Covid-19

เวลาสำคัญสำหรับพนักงานทุกคนในองค์กรที่จะต้องเตรียมเจอกับคำถามใหญ่ตลอดระยะเวลาที่ทำงานมาคือ “การประเมินผลงานประจำปี” โดยความท้าทายในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นความท้าทายที่ค่อนข้างรุนแรงกว่าที่ผ่านมานั่นคือ ทุกคนกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่ปกติ มีการทำงานจากที่บ้าน การประชุมผ่าน video call ทำให้การสังเกตพฤติกรรมในการทำงานเปลี่ยนไป

สิ่งหนึ่งที่องค์กรจะต้องเตรียมความพร้อมให้กับ manager ที่มีผู้ใต้บังคับบัญชา หรือ “ลูกน้อง” ที่ต้องเตรียมขั้นตอนการประเมินผลคือ เครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานต่าง ๆ เพื่อลดความ “อคติ” ที่อาจจะเกิดขึ้น งานวิจัยของ Lori Nishiura Mackenzie, JoAnne Wehner, และ Shelley J. Correll ที่เคยได้รับการตีพิมพ์จากวารสาร Harvard Business Review ในปี 2019 ระบุว่า การเกิดอคติจากการประเมินผลงานมาจากการที่เวลา manager ทำการประเมินผลมักจะใช้เครื่องมือที่เป็น open box หรือ blank space หรือกล่าวง่าย ๆ คือ การเติมคำลงในช่องว่าง โดยอาจเริ่มจากให้พนักงานประเมินตัวเองมาก่อน แล้วจากนั้น manager จึงเริ่มทำการประเมินเปรียบเทียบ ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่าการทำแบบนี้ในการประเมินผลนำมาสู่การสร้างอคติในเชิงเปรียบเทียบสูงมาก เนื่องจาก ยกตัวอย่างเช่นคำถามประเภท “ท่านคิดว่าตนเองได้ทำตามความคาดหวังได้มากน้อยเพียงใด” นั้นสร้างให้เกิดการไม่ align หรือไม่ลงรอยกันระหว่างความคาดหวังของคนทั้งสองฝั่ง และมีโอกาสสูงมากที่จะเกิดความ “เขย่ง” กันจากการประเมินผลเนื่องจากไม่มีกรอบในการพิจารณาที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน หรือกล่าวคือ ต่างคนต่างประเมินจากไม้บรรทัดคนละไม้กันนั่นเอง

การเข้ามาของ Covid-19 และการทำงานจากที่บ้านเป็นตัวกระตุ้นให้ manager ต้องใช้การคิดแบบ slow thinking หรือการคิดแบบที่สมองเราใช้เวลาตัดสินใจแบบ snap judgement หรือการตัดสินใจแบบเร่งรีบมาก โดยที่ snap judgement นั้นได้รับอิทธิพลโดยตรงมาจากสภาพแวดล้อมของตัวบุคคล เช่น ผลงานในอดีต หรือการเหมารวม (stereotype) ดังนั้นจึงพบว่าบ่อยครั้งที่ manager จะใช้การตัดสินใจบน “ตัวบุคคล” มากกว่า “ผลงาน” นอกจากนี้ การทำงานจากที่บ้านทำให้สร้างความคลุมเครือต่อการวัดทางธุรกิจหลายอย่าง เนื่องจากการทำงานจากระยะไกลทำให้ตัวชี้วัดไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าพฤติกรรมใดบ้างที่สะท้อนมาตรวัดเหล่านั้น เนื่องจากไม่มีการสังเกตโดยตรง แต่ทำได้แค่เพียงรับรายงาน หรือได้เห็นผลลัพธ์ภาพหลังงานที่มอบหมายได้รับการส่งมอบแล้วเท่านั้น

ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้เราสามารถก้าวข้ามอคติดังกล่าวได้ องค์กรจึงควรเริ่มที่จะสร้างกรอบความคิดหรือเครื่องมือที่จะเข้ามาช่วยเหลือ manager ในการควบคุมเส้นแบ่งเหล่านั้นให้ชัดเจน ไม่คลุมเครือ และควรรีบทำอย่างเร่งด่วน

ขั้นตอนที่ 1: ระบุให้ชัดเจนว่าอะไรคือตัวชี้วัด หรือ criteria ในการประเมินผล ก่อนจะตัดสินใจ

ดังที่กล่าวมาข้างต้นว่า ความคลุมเครือนำมาสู่อคติในการประเมินผลปฏิบัติงาน ดังนั้นสิ่งแรกที่ผู้ประเมินควรจะเริ่มทำคือ การสร้างความเข้าใจต่อ “ตัวงาน” หรือ “ตำแหน่งงาน” ก่อน อาทิเช่น อาชีพวิศวกร อะไรคือ criteria ที่สำคัญต่ออาชีพนี้ ตำแหน่งนี้ หรือหน้าที่นี้ โดยไม่ได้มองที่ตัวบุคคลโดยตรง และที่สำคัญคือจะต้อง “วัดได้” หากลองยกตัวอย่าง criteria ที่วัดไม่ได้ เช่น “ความคิดเชิงนวัตกรรม” สิ่งนี้เป็นการประเมินที่วัดผลยากมากหรือแทบวัดไม่ได้เลย แต่หากเราสามารถบรรยายสิ่งที่เราต้องการให้ชัดเจนลงไปได้เลยก็ควรระบุไปให้เห็นเด่นชัด เช่น “มีความสามารถในการสร้างการประชุมที่คนจากหลากหลายแผนกเข้ามาระดมความคิด และสามารถส่งต่อให้ผู้เกี่ยวข้องนำไปสร้างเป็นโครงการใหม่ได้” เป็นต้น นอกจากนี้อันตรายอีกประการของการไม่สร้างความชัดเจนของมาตรวัด อาจนำไปสู่ผลลบที่มองไม่เห็นได้ เช่น การเร่งให้พนักงานส่งมอบชิ้นงานที่มากขึ้น หรือเร่งเวลาในการส่งมอบให้เร็วขึ้น อาจก่อให้เกิดความเครียดในครอบครัวของพนักงาน ดังเช่นที่ Cisco พยายามเร่งโครงการของตัวเองส่งผลให้พนักงานทั้งบริษัทต้องได้รับผลกระทบจากการทำงานที่เกิดขอบเขตเวลาตามปกติ เป็นต้น รวมไปถึงข้อจำกัดต่าง ๆ ที่อาจทำให้พนักงานบางคนต้องหลีกเลี่ยงพฤติกรรมบางอย่างที่ manager คาดหวัง ยกตัวอย่างเช่น manager ต้องการให้ทุกคนเปิดกล้องตลอดเวลาที่มีการประชุมกัน แต่พนักงานบางคนอาจไม่สะดวกเนื่องจากเป็นครอบครัวใหญ่ และมีฉากหลังที่วุ่นวาย เช่นลูกเด็กเล็กแดงต้องวิ่งไปวิ่งมา หรือนั่งทำการบ้านอยู่ในบริเวณเดียวกัน แต่ manager อาจมองว่าพนักงานไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง เป็นต้น ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอคติใด ๆ manager ควรควบคุมเงื่อนไขเหล่านี้ให้ดีก่อนตัดสินใจประเมินผลนั่นเอง

ขั้นตอนที่ 2: จัดระเบียบคนที่เป็นผู้ตัดสินใจให้อยู่ในระนาบเดียวกัน

หลายครั้งที่การประเมินผลจะเป็นไปตามลำดับขั้น และแต่ละจุดตัดสินใจในแต่ละขั้นนั้นไม่ได้อยู่ในกติกาเดียวกัน หรือบริบทเดียวกัน ดังนั้นเมื่อผู้ประเมินส่งผลการประเมินแรกขึ้นไป ก็อาจจะถูกผู้ประเมินในลำดับถัดไปปัดตกก็ได้ การแก้อคติแบบนี้ สามารถสร้างได้หากนำข้อมูลเงื่อนไขในขั้นตอนที่ 1 มาพิจารณาร่วมกัน ก่อนที่จะปล่อยให้เกิดการประเมิน เมื่อตกลงร่วมกันได้แล้วก็จัดเก็บเป็น document ที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ เมื่อเกิดความไม่ลงรอยกันในการตัดสินใจ ก็หยิบเอกสารเหล่านี้มาพิจารณาไตร่ตรองรวมกันอย่างมีระบบ

ขั้นตอนสุดท้าย: การตรวจสอบ

กระบวนการตรวจสอบเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากในการลบล้างอคติที่เกิดขึ้น ผู้มีอำนาจตัดสินใจควรได้รับการ facilitate จาก HR ในการตรวจสอบการตัดสินใจร่วมกันว่าตรงตามที่ตกลงกันหรือไม่ หากไม่ตรงกันจะต้องมีการมานั่งหารือกันทันทีว่าเกิดจากเงื่อนไขข้อใด ระบบนี้เหมาะกับการทำ hybrid workplace เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการเชื่อมโยงกันในรูปแบบ cross-monitoring หรือการตรวจสอบไขว้กันไปมา จะทำให้เกิดความโปร่งใส และเห็นชอบร่วมกัน

อคติเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น และมักเกิดขึ้นตลอดเวลา เวลาที่เกิดอคติขึ้นมักจะเกิดจากจิตใต้สำนักของเราทำงานผ่านตัวกระตุ้นจากอิทธิพลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศสภาพ หรือเชื้อชาติ ดังนั้นทั้งสามขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้น จะช่วยให้ manager และองค์กรสามารถรักษาสมดุลย์ที่ดีได้ โดยเฉพาะภายใต้สภาพการทำงานที่เปลี่ยนไปในช่วง Covid-19

อ้างอิง

How Do You Evaluate Performance During a Pandemic? (hbr.org)

Why Most Performance Evaluations Are Biased, and How to Fix Them (hbr.org)

Of 2 Minds: How Fast and Slow Thinking Shape Perception and Choice [Excerpt] - Scientific American

How #1 World’s Best Workplace Cisco Showed the Courage To Connect in 2020 | Great Place to Work®

Tag:
No items found.
Share this post:
ภคภัค สังขะสุนทร

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024