ปรากฎการณ์ที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ไม่ทนกับงานไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้นแต่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ในสหรัฐอเมริกาเองก็มีการเคลื่อนไหวจากกลุ่มแรงงานเพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกการทำงานล่วงเวลาในกลุ่มคนอายุ 20 กว่าและผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานในองค์กร ทั้งองค์กรระดับโลกอย่างStarbucks, Amazon, Home Depot ไปจนองค์กรขนาดเล็ก
พนักงานที่เกิดในปี 1997 ถึง 2012 ไม่ใช่เด็กอีกต่อไป คนกลุ่มนี้ทำงานมาแล้วอย่างน้อย 1 ปีในองค์กรให้ความสำคัญกับความยุติธรรม (Fairness) มากกว่าสิ่งอื่นใดจะไม่ยอมทนกับมาตรฐานและพฤติกรรมที่บิดเบี้ยวในองค์กร
ใช้โซเชียลมีเดียแก้ไขรูปแบบความสัมพันธ์ที่บิดเบี้ยวระหว่างหัวหน้า-ลูกน้อง
คน Gen Z เลือกที่จะ “ปฏิเสธ” สิ่งที่ไม่เห็นด้วยซึ่งความคิดนี้แตกต่างจากคนรุ่นเดิม ไม่ว่าจะเป็นการสั่งงานนอกเวลางานหัวหน้าที่ไม่น่าเคารพ และงานที่ไม่มีขอบเขตตามที่ตกลงกันไว้
ด้วยความคิดนี้เอง Gen Zพร้อมเผชิญหน้ากับหัวหน้างานโดยไม่เกรงกลัวเหมือนคนเจเนอเรชั่นก่อน ๆแต่พบว่ามีพนักงานเพียง 8% เท่านั้นที่รายงานความ Toxic ในองค์กร อาทิการบูลลี่ในที่ทำงาน การล่วงละเมิศทางเพศหรือการเหยียดเชื้อชาติผ่านช่องทางที่องค์กรจัดไว้ให้ เพราะไม่ศรัทธาในช่องทางดังกล่าวและมองว่าอาจสร้างปัญหาในอนาคตเพิ่มอีก
Gen Z จึงเลือกใช้วิธีการที่พวกเขาถนัดที่สุดนั่นคือกรเติบโตมาท่ามกลางโลกดิจิทัลด้วยการต่อสู้ผ่านโซเชียลมีเดียและช่องทางต่าง ๆ บนโลกออนไลน์อีกด้วยไม่ใช่เฉพาะในออฟฟิศหรือการพูดคุยกันแบบตัวต่อตัวกับหัวหน้างานเท่านั้นเเหมือนกับรุ่นพี่ที่เคยทำมาในอดีตตัวอย่างเช่นการติดแฮชแท็ก #MeToo เพื่อสื่อถึงการถูกล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงาน(Sexual Harrassment) ผ่านทาง Twitterหรือการให้ความรู้เรื่องสิทธิของพนักงานไปทั่วโลกภายในไม่กี่วินาทีผ่านแพลตฟอร์มTiktok อย่างสร้างสรรค์อีกด้วย
ส่วนประกอบของความ Toxic ในองค์กรมีอะไรบ้าง?
TheToxic Five เป็นตัวอย่างของสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษในการทำงานจากมุมมองของพนักงานโดยเฉพาะเฉพาะพนักงานคนอายุน้อย ได้แก่ 1) การไม่ให้เกียรติ (Disrespectful)การแบ่งแยก (Noninclusive) การผิดจรรยาบรรณ (Unethical) การห้ำหั่นหักหลัง(Cutthroat) และการล่วงละเมิด (Abusive)
สถานการณ์ดังกล่าวไม่ใช่ว่าในอดีตไม่เคยเกิดขึ้นสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลายองค์กรเผชิญ และล้วนไม่มีใครชอบ แม้แต่กลุ่มBabyboomer, Gen X, หรือ Gen Y ก็ตามแต่ในสมัยหนึ่งพนักงานรุ่นเดิมกลับมองว่าตนเองไม่มีทางเลือกได้แต่เลือกที่จะทนหรือร้องเรียนอยู่เงียบ ๆ เท่านั้น ในมุมกลับกันหากใครทนได้ไม่เหลาะแหละลาออกหนีปัญหา ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นคนอึด แกร่งเก่งในสายตาของหัวหน้างานและครอบครัวอีกด้วยจนกลายเป็นวัฒนธรรมรวมถึงสภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมก็ส่งผลต่อการคิดและตัดสินใจของคนในแต่ละเจเนอเรชั่นที่แตกต่างกัน
สิ่งเหล่านี้เป็นพิษกับอะไรบ้าง?
การทำงานในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษนี้นำไปสู่ความเครียดของพนักงาน อาการ burnout ปัญหาสุขภาพจิตและยังนำไปสู่ปัญหาสุขภาพทางกายได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ หอบหืดเบาหวาน และโรคข้ออักเสบที่สูงขึ้นจาก 35% เป็น 55% อีกด้วยซึ่งเป็นบ่อเกิดของปรากฎการณ์ The Great Resignation
ผู้นำเป็นจุดเริ่มต้นอันดับหนึ่งของความเป็นพิษในองค์กร
จากการศึกษาข้อมูลหลายพบความสัมพันธ์สัมพันธ์(correlation) ระหว่างปัจจัยเหล่านี้และวัฒนธรรมองค์กรที่ถูกมองว่าเป็นพิษซึ่งผู้นำ (Leadership) เป็นปัจจัยที่ส่งผลเป็นอันดับหนึ่ง
ผู้นำในระดับสูงส่งต่อวัฒนธรรมการทำงานในสไตล์ของตัวเองไปยังหัวหน้างานลำดับถัดไปที่จ้างเข้ามาและสอนงานต่อแต่ถึงแม้ผู้นำสูงสุดจะเป็นแบบอย่างที่ดีผู้นำระดับต้นและหัวหน้างานก็สามารถสร้างวัฒนธรรมในระดับทีมย่อยที่แตกต่างกันได้ถึงแม้ว่าจะมีนโยบายขององค์กรเดียวกันกำกับอยู่ก็ตาม
แค่ไหนจึงเรียกว่า ToxicCulture
ถึงแม้ว่าความรู้สึกต่อสภาพแวดล้อมในการทำงานเป็นเรื่องส่วนบุคคลมีความแตกต่างกันตามตัวบุคคล แต่เมื่อใดก็ตามที่พนักงาน 1 คนจากทุก 4คนเริ่มรู้สึกถึงความ Toxic ในองค์กร เมื่อนั้นแปลเป็นนัยได้ว่าวัฒนธรรมองค์กรนั้น ๆ กำลังมีป้ญหา
การแก้ปัญหา Toxic Cultureเป็นของทุกคน แต่ต้องเริ่มโดยผู้นำ
ผู้นำหลายองค์กรเลือกที่จะนำการแก้ปัญหาเรื่องนี้ไปผูกกับตัวเลขทางธุรกิจเช่น ค่าใช้จ่ายจากการลาออก หรือ ค่ารักษาพยาบาลพนักงานทั้งที่จริงแล้วต่อให้ไม่มีเรื่องตัวเลขเหล่านี้ ปัญหา Toxic Cultureเป็นเรื่องของคนทุกเจเนอเรชั่นในองค์กรที่ต้องจัดการและไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นในฐานะมนุษย์คนหนึ่งอย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้นำองค์กร หัวหน้างานหรือฝ่ายบุคคลผู้มีสิทธิและอำนาจที่ถูกต้องจึงควรตรวจสอบความจริงโดยไม่มี Biasไม่ยึดติดกับความเคยชินที่อยู่ร่วมกันมาแบบนี้ตั้งแต่อดีตและลงมือนำการแก้ไขปัญหาตัดวงจรแต่เนิ่น ๆ ไม่ปล่อยให้ลุกลามจน Gen Zต้องลุกขึ้นมาแชร์ผ่านโซเชียลมีเดียหรือแห่ลาออกจนเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตให้กับธุรกิจกำลังจะต้องเติบโตต่อและต้องพึ่งพาคนรุ่นใหม่ที่จะไปกับอนาคตขององค์กร
อ้างอิง
https://www.forbes.com/sites/markcperna/2022/06/01/toxic-work-culture-is-the-1-factor-driving-people-to-resign/?sh=238909ca68f1
https://fortune.com/2023/01/31/america-has-a-toxic-workplace-problem/
https://sloanreview.mit.edu/article/why-every-leader-needs-to-worry-about-toxic-culture/
https://sloanreview.mit.edu/article/how-to-fix-a-toxic-culture/
https://www.businessinsider.com/how-gen-z-is-changing-work-most-pro-labor-generation-2022-11