>
OKRs and CFR Best Practices
March 16, 2021

OKRs and CFR Best Practices

นิยามของ OKRs คืออะไร OKRs เป็น Simple Goal-Setting มี Concept คือ Objectives คือการตั้งเป้าหมาย กับ Key Results ผลลัพธ์หลักที่ทำให้เป้าหมายของคุณสำเร็จ หลักการของ OKRs นั้นเน้นความง่าย โดยจะ Focus ไปที่ตั้งเป้าหมายที่เกิดความสอดคล้องเชื่อมโยงกันทั้งองค์กร (Alignment) เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายเดียวกันนั้นให้ได้ (Goal-driven)

Google ใช้ OKRs มากว่า 20 ปีแล้ว เริ่มต้นจาก C-level จะเป็นคนคิด OKRs ขององค์กรไว้ในช่วงปลาย Q3 (เดือนกันยายน) เช่น การวางเป้าหมายของปี 2020 C-level จะมี Format ไว้เลยว่า “In 2019, we will (Objective) as measured by (Key Results)” ดังนั้นก่อนสิ้นปี 2019 องค์กรก็จะประกาศเป้าหมายของปี 2020 เมื่อได้ OKRs ขององค์กรแล้ว ก็ค่อยส่งต่อไปในระดับต่าง ๆ ขององค์กร (Cascading) เช่น ระดับแผนก ระดับทีม จนไปถึงระดับบุคคล ซึ่งการกำหนด OKRs ต้องมีทั้งแบบ Top-Down และ Bottom-Up โดยเฉพาะในระดับบุคคลจะเป็น Bottom-Up ที่ให้พนักงานได้คิด OKRs ของตนเอง แล้วสามารถแสดงความคิดเห็นขึ้นไปหา Manager ได้ โดยจะทำ Draft แล้วไปคุยกับ Manager ว่าทำไมถึงคิดแบบนี้ ต้องการอะไรมาสนับสนุนบ้าง แนวนี้คือแบบแนวตั้ง (Vertical) และอีกส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันคือการคุยแบบแนวนอน (Horizontal) คือการทำงานระหว่างทีม เพื่อร่วมกันทำ OKRs ที่สอดคล้องกัน ซึ่งเป็นการทำงานแบบ Cross-Functional Team

การตั้ง OKRs จะต้องมีความท้าทายแต่เป็นไปได้ เช่น OKRs ของ Google Chrome มี Objectives คือ Build The Best Web Browser โดยในปี 2008 ตั้ง KRs: 20M 7Days Active Users ทำได้จริงแค่ 11 ล้าน เขาก็มาพูดคุยกันว่าผิดพลาดอย่างไร ต่อมาในปี 2009 ตั้ง KRs: 50M 7Days Active Users เพราะเชื่อว่าเรียนรู้แล้วจะต้องทำได้ดีขึ้น แต่ทำได้จริง 38 ล้าน และในปี 2010 ตั้ง KRs: 111M 7Days Active User เพราะดูจากข้อมูลว่ามีคนใช้อินเตอร์เน็ตกว่า 1,000 ล้านคน ขอแค่ 100 ล้านคน (10%) เอง แม้ว่าจะยากแต่ก็มีความเป็นไปได้ ผลออกมาคือทำได้ 120 กว่าล้าน ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก แม้จุดเริ่มต้นจะล้มเหลวแต่ OKRs จะเป็นตัวผลักดันให้คิดหาวิธี เรียนรู้และพัฒนาจนสำเร็จให้ นั้นคือหัวใจของ OKRs คือทำให้คนได้ Learning and Development อยู่ตลอดเวลา

OKRs ที่ดีมีลักษณะอย่างไร

การตั้ง OKRs จะมี 2 ส่วนหลัก คือตั้งเป้าหมายก่อน (Objective) ซึ่งเป้าหมายที่ดีจะมีลักษณะสำคัญ 4 ประการ คือ 1) Significant มีความสำคัญต่อวิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมายขององค์กร 2) Concrete เป็นรูปธรรมเห็นได้ชัดเจน 3) Action-Oriented ทำให้เห็นผลลัพธ์ได้ 4) Ambitions มีความท้าทาย

ส่วนผลลัพธ์หลัก (Key Results) ต้องเป็นผลลัพธ์จากการกระทำ (Outcome-Oriented) ที่ไปส่งเสริมทำให้เป้าหมายสำเร็จ ตรงนี้ต้องระวังว่าไม่ใช่กิจกรรม (action/activities/tasks) แต่ต้องเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่เราได้ทำกิจกรรมนี้แล้ว ซึ่งมี 5 ลักษณะสำคัญ ได้แก่ 1) Specific สำคัญและเฉพาะเจาะจง 2) Measurable สามารถวัดผลได้ 3) Achievable ยากแต่เป็นไปได้ 4) Relevant สอดคล้องกับเป้าหมาย และ 5) Time-bound มีกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน ส่วนใหญ่ OKRs จะตั้งเป็นรายไตรมาส

การตั้ง OKRs จะต้อง Focus ดังนั้น แต่ละไตรมาสมีเพียงแค่ 3-5 OKRs ก็เพียงพอแล้ว และแต่ละ Objective ก็ควรมีแค่ 3-5 Key Results เพราะหากมากกว่านี้จะเยอะมากจนไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ภายในหนึ่งไตรมาส ดังนั้น OKRs จะช่วยให้คิดถึงเป้าหมายเป็นหลัก เลือกทำและจัดลำดับงานสำคัญ ๆ ที่สอดคล้องมากกว่า

OKRs ต่างจาก KPI อย่างไร

แม้ว่า OKRs และ KPI จะอยู่ในตระกูลเดียวกันในเรื่องของ Performance Management แต่ก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกันค่อนข้างเยอะ ได้แก่

1. KPI จะเน้นการทำ Performance Monitoring ในขณะที่ OKRs จะเน้นการทำให้องค์กรไปสู่เป้าหมาย KPI จึงผูกกับค่าตอบแทนของพนักงาน แต่ OKRs จะโฟกัสไปที่การเรียนรู้และการพัฒนาทักษะตลอดเวลาของพนักงานมากกว่า

2. การตั้งเป้าหมาย KPI จะทำจากระดับบนที่กำหนดตัวเลขทั้งหมด (Top-down) แต่ OKRs จะเน้นในการกระจายเป้าหมายและให้พนักงานทุกคนสามารถกำหนดเป้าหมายของตนเองที่สอดคล้องกับองค์กร และ feedback ขึ้นไปยัง manager ได้ (Top-down และ Bottom-up)

3. การวางแผนปฏิบัติงานของ KPI นั้นจะกำหนดไว้ทั้งปี และปรับเปลี่ยนยากหรือน้อยที่สุด แต่ OKRs จะทำเป็นรายไตรมาส เพื่อความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เพื่อให้ทันกับสถานการณ์ปัจจุบัน

4. การตั้งเป้าหมาย OKRs จะโปร่งใส ทั้งองค์กรต้องแชร์ OKRs เพื่อให้เห็นถึงเป้าหมาย ความรับผิดชอบของแต่ละคน และเห็นถึงการทำงานที่เชื่อมโยงกัน มีเป้าหมายเดียวกันทั้งองค์กร

โดย คุณพรทิพย์ กองชุน – COO, Jitta.com และอดีตผู้บริหาร google ในประเทศไทย ที่ใช้ OKR มากว่า 10 ปี

Tag:
No items found.
Share this post:
KHON

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024