>
มุมมองด้าน PDPA ต่อกรณี Hacker เจาะข้อมูลบริษัทให้บริการ Internet
July 24, 2021

มุมมองด้าน PDPA ต่อกรณี Hacker เจาะข้อมูลบริษัทให้บริการ Internet

ในช่วงต้นเดือนมกราคม 2564 ข่าวที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับความสนใจจากสาธารณะที่มากที่สุดคือ ข่าวที่บริษัทให้บริการด้าน Internet รายใหญ่เจ้าหนึ่งถูก Hacker เจาะเข้าฐานข้อมูลเจาะมาได้ ทั้งข้อมูลด้านการเงินของบริษัท, ฐานข้อมูลฝ่ายบุคคล รวมถึงข้อมูลลูกค้ารวมทั้งหมดกว่า 8 ล้านรายการ ที่เจ็บแสบคือ Hacker อ้างว่า เจาะเอาข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์โดยไม่พบการป้องกันใดๆ รวมถึงมีการแจ้งเตือนก่อนการโจมตีอีกด้วย โดยรอบแรก Hacker ได้แฮกข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าและพนักงานของบริษัทลูกพร้อมกับเรียกค่าไถ่เป็นจำนวนหนึ่ง แต่บริษัทแม่ได้เงียบเฉยทำให้ Hacker กลุ่มนี้ยกระดับเจาะข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัททั้งกลุ่มและได้ข้อมูลดังกล่าวข้างต้นไปกว่า 8 ล้านรายการ โดยบริษัทนี้ได้ออกมาแถลงข้อเท็จจริงว่า ถูกเจาะข้อมูลไปเรียกค่าไถ่ และขอให้สื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปอย่าได้กระพือข่าวออกไปเพราะจะเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับ Hacker รายนี้

ส่วนตัวผมให้ความสนใจเรื่องนี้ในประเด็นของ พรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA ในประเด็นต่างๆดังต่อไปนี้

ประเด็นที่หนึ่ง ใครคือผู้ที่จะต้องรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล เป็นบริษัทในฐานะเป็น Data Controller หรือ พนักงานที่ดูแลระบบ Data Security หรือต้องรับผิดชอบคู่

ผมมีความเห็นว่า เนื่องจาก PDPA ได้เลื่อนการบังคับใช้ “สำหรับหน่วยงาน” ออกไปจนถึง 1 มิถุนายน 2564 ดังนั้น หากเจ้าของข้อมูลหรือ Data Subject ต้องการร้องเรียนถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากที่ข้อมูลส่วนบุคคลของตนถูกละเมิด จะต้องร้องเรียนในฐานกฎหมายอื่น เช่น การละเมิดทางแพ่ง จะไม่ใช่การใช้สิทธิตามที่กำหนดไว้ใน PDPA โดยหากพิสูจน์ได้ว่า บริษัทไม่ได้กำหนดมาตรการ ไม่มีแนวทางเรื่อง Data Security บริษัทก็จะต้องรับผิดชอบการปล่อยให้เกิดการละเมิด แต่หากบริษัทมีการกำหนดมาตรการไว้เป็นอย่างดี แต่พนักงานไม่ทำตามมาตรการดังกล่าว บริษัทยังต้องรับผิดชอบต่อการเกิดความเสียหายในฐานะนายจ้าง แล้วไปไล่เบี้ยกับพนักงานเป็นการภายในที่ไม่ทำตามมาตรการบริษัท

ประเด็นที่สอง บริษัทควรต้องทำอย่างไรหรือไม่ต่อเจ้าของข้อมูลและต่อหน่วยงานราชการ

ผมมีความเห็นว่า หากเป็นช่วงตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป บริษัทจะต้องแจ้งแก่สำนักงานข้อมูลส่วนบุคคลถึงการเกิดการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลภายใน 72 ชั่วโมงนับตั้งแต่ทราบเหตุที่เกิดการรั่วไหล เพราะถือได้เกิดการละเมิดที่มีความเสี่ยงที่จะกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลแล้ว ส่วนประเด็นต่อไปคือว่า แล้วจะต้องแจ้งแก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่ ก็จะขึ้นอยู่กับการตีความว่า มีความเสี่ยง “สูง” หรือไม่ ที่จะกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ถ้าเสี่ยงสูงจะต้องแจ้งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลพร้อมมาตรการเยียวยา ประเด็นคือว่า หากมีการตีความว่า มีความเสี่ยงสูงจะแจ้งอย่างไรกับเจ้าของข้อมูลจำนวน 8ล้านกว่าคน ซึ่ง PDPA ไม่ได้กำหนดแนวทางไว้ ซึ่งหากเหลือบไปมอง GDPR (General Data Protection Regulation) ที่เป็นต้นทางของ PDPA จะมีการระบุไว้ว่า หากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีเป็นจำนวนมากจนไม่สามารถจะแจ้งเป็นรายบุคคลได้ GDPR ระบุไว้ว่า สามารถที่จะแจ้งเป็น Public เป็นกลุ่มใหญ่ได้ ซึ่งผมคิดว่า PDPA อาจจะต้องปรับแนวทางนี้มาใช้

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเกิดเหตุครั้งนี้ เกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 มิถุนายน 2564 ดังนั้น บริษัทจึงไม่ต้องมีการดำเนินการอะไรข้างต้น เหลือเพียงการทำอย่างไรที่จะสร้างความมั่นใจในทางธุรกิจ และเตรียมรับมือหากมีเจ้าของข้อมูลร้องเรียนหรือฟ้องร้องจากกรณีนี้ ดังที่ผมให้ความเห็นไว้ในประเด็นที่หนึ่ง

กรณีนี้ที่เกิดขึ้นกับบริษัทนี้ ทำให้ผมคิดถึงกรณีที่เกิดขึ้นกับสายการบินชื่อดังแห่งหนึ่งของยุโรปที่ถูก Hacker เจาะข้อมูลได้ข้อมูลลูกค้าทั้งชื่อนามสกุล ข้อมูลการติดต่อ ข้อมูลทางการเงิน ไปประมาณ 5 แสนกว่าข้อมูล และจากการที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ได้มีการจัดการบริหารเรื่อง Data Security ได้ดีเพียงพอ ทำให้ถูกสำนักงานคณะกรรมาธิการข้อมูลของสหราชอาณาจักร (ICO) ลงโทษปรับเงินเป็นจำนวน 183.39 ล้านปอนด์ ประมาณ 7,069,820,000 บาท ซึ่งเป็นเงินค่าปรับที่สูงมาก ถึงแม้ว่า บทปรับทางแพ่งของ PDPA อาจจะไม่สูงมากเท่า GDPR แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรเสียหากบริษัทในไทยได้วางแนวทาง วางมาตรการป้องกันไว้อย่างดี

กรณีที่เกิดขึ้นนี้ เป็นสัญญาณเตือนที่บริษัทและหน่วยงานต่างๆจะต้องเตรียมการอย่างดี เพราะหลัง 1 มิถุนายน 2564 ผลที่ตามมาจะไม่สามารถจัดการให้จบลงได้อย่างง่าย ๆ อีกต่อไป

Tag:
No items found.
Share this post:
ดิลก ถือกล้า

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024