ประเทศจีนเคยเป็นผู้นำในการสร้าง 4 สิ่งสุดยอดเทคโนโลยีในโลกยุคโบราณ คือ เข็มทิศ ดินปืน กระดาษ และการพิมพ์ ก่อนที่จะถดถอยและปิดประตูไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกอย่างยาวนาน ปัจจุบันจีนได้หวนกลับมาทวงคืนความยิ่งใหญ่อีกครั้ง หลายทศวรรษที่ผ่านมา ความสงสัยเกี่ยวกับศักยภาพในการสร้างสรรค์นวัตกรรมของจีน เป็นสิ่งที่สหรัฐรู้สึกกลัวว่าจะเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของตน ได้กลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาแล้ว จากการจัดอันดับบริษัทให้บริการอินเตอร์เน็ตของโลกในปี 2561 โดยใช้มูลค่าตามราคาตลาด (Market Capability) เป็นเกณฑ์ในการเปรียบเทียบ มีบริษัทของจีนติดอันดับมากถึง 7 รายจาก 15 อันดับแรก นำโดย Tencent Alibaba และ Baidu ซึ่งสินค้าและบริการของบริษัทเหล่านี้ ล้วนโดดเด่น ทันสมัยและมีความหลากหลาย ทั้งยังมีการพัฒนาเพื่อรองรับเทรนด์ต่าง ๆ ของผู้บริโภคในอนาคตด้วย
การก้าวกระโดดในการพัฒนาเทคโนโลยีของจีน ส่วนหนึ่งมีแรงผลักดันจากการปลูกฝังแนวคิดการพึ่งตนเองทางเทคโนโลยี (Techno-Nationalism) ซึ่งสะท้อนความเจ็บปวดจากการถูกครอบงำโดยประเทศตะวันตกในสมัยยุคการล่าอาณานิคม (Colonialism) นักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่า แรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เกิดการขยายตัวของลัทธิล่าอาณานิคม คือ 3 G “พระเจ้า (God) ทองคำ (Gold) และ ความรุ่งโรจน์ (Glory)” พระเจ้า คือการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ไปยังดินแดนห่างไกล ทองคำคือ ทรัพยากรและวัตถุดิบรวมทั้งแรงงานที่จะนำกลับมาสร้างความมั่งคั่ง ส่วนความรุ่งโรจน์ คือความภาคภูมิใจของราชวงศ์ในยุโรปที่สามารถขยายดินแดนในโลกใหม่ ความทะเยอทะยานของเหล่าประเทศล่าอาณานิคม ทำให้จีนซึ่งมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล และจำนวนประชากรมากกว่า 1 ใน 4 ของโลก ตกเป็นเป้าของการไล่ล่าเพื่อเข้ายึดครอง ตักตวงทรัพยากรและผลประโยชน์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
หลังยุคล่าอาณานิคม เทคโนโลยีได้รับการพัฒนาไปสู่ยุคดิจิทัล โทรศัพท์เคลื่อนที่ถูกเชื่อมต่อกับระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง กลายเป็นระบบนิเวศใหม่ที่เปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แรงกระตุ้นในการขยายธุรกิจเพื่อยึดครองตลาดในประเทศต่าง ๆ ไม่ได้อยู่บนความเชื่อ 3G “God, Gold, Glory” อีกต่อไป แต่มาจากแรงจูงใจในการสร้างผลกำไรในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ซึ่งไม่มีเทคโนโลยีของตนเอง ควบคู่กับความต้องการผูกขาดความเป็นเจ้าขององค์ความรู้ในเทคโนโลยีนั้น ๆ แรงจูงใจดังกล่าวกำลังนำโลกกลับไปสู่ยุคล่าอาณานิคมใหม่ (Neo-Colonialism) ซึ่งคราวนี้อำนาจไม่ได้มาจากนโยบายเรือปืน แต่มาจากการควบคุมการพัฒนาและจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงของบริษัทเจ้าของเทคโนโลยี ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในประเทศที่ร่ำรวยและพัฒนาแล้วเพื่อตักตวงผลกำไรจากประเทศกำลังพัฒนา การล่าอาณานิคมยุคใหม่ (Neo-Colonialism) โดยอาศัยเทคโนโลยี กลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะเทคโนโลยีนำมาซึ่งความสุขสบายในการใช้ชีวิตของทุกคน
นอกจากการพึ่งพาเทคโนโลยีขั้นสูง ข้อมูลที่บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น Google, Facebook, Amazon ได้ไปจากผู้บริโภค ช่วยให้การกำหนดหรือควบคุมพฤติกรรมการบริโภคสินค้าหรือบริการ ของประชาชนในประเทศที่ใช้เทคโนโลยีของบริษัทดังกล่าวเป็นไปได้ง่ายขึ้น บริษัทเหล่านี้กลายเป็นผู้ผูกขาดรายได้โฆษณาออนไลน์ ข้อมูลผู้บริโภคจำนวนมากได้สร้างความได้เปรียบให้กับเจ้าของเทคโนโลยีมากขึ้นเรื่อย ๆ อาจพูดได้ว่าเสมือนหนึ่งทุกวันนี้การปกครองอาณานิคมได้เปลี่ยนจากรัฐชาติ มาเป็นบริษัทขนาดใหญ่แทน เป็นการได้อาณานิคมใหม่โดยมีประชากรจำนวนมากในรัฐอาณานิคมช่วยสร้างรายได้ให้ โดยไม่ต้องใช้กำลังบีบบังคับเช่นในอดีต ประเทศที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงของตนเองได้เช่นจีน อาจจะสามารถสลัดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นภายใต้ระบบอาณานิคมยุคใหม่ (Neo-Colonialism) ได้ แต่ก็ต้องแลกด้วยการทำสงครามที่ไม่ต้องใช้กระสุนปืน เป็นสงครามเทคโนโลยี (Tech War) กับจักรวรรดิที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีอยู่เดิม คือสหรัฐอเมริกา
ฐานเศรษฐกิจ. “สงครามเทคโนโลยีและการล่าอาณานิคมยุคใหม่ (Trade War and Neo-Colonialism)”, CEO Focus, The Disrupt, หน้า 23, 19 มกราคม 2562
HR Society Magazine. “สงครามเทคโนโลยีและการล่าอนานิคมยุคใหม่ (Tech War and Neo-Colonialism)”. ธรรมนิติ. Vol. 17, No 194, หน้า 14-17, กุมภาพันธ์ 2562