>
The Business Case For Workplace Flexibility: IBM & SAS & Accenture
December 23, 2020

The Business Case For Workplace Flexibility: IBM & SAS & Accenture

ยุคแห่งเทคโนโลยีสารสนเทศ การเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ช่องทางในการติดต่อสื่อสารมีหลากหลาย และมีประสิทธิภาพสูงขึ้นภายใต้สภาพแวดล้อมและบริบทที่แตกต่างไปจากเดิมส่งผลให้เด็กในยุค Gen Y เติบโตมาพร้อมกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีก่อให้เกิดแนวคิดที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อน ธุรกิจจึงต้องปรับตัวให้ทันต่อความไวของเทคโนโลยีที่ปรับเปลี่ยนไปในทุกวัน เพื่อที่จะสร้างความได้เปรียบเชิงแข่งขัน (Competitive Advantage) และก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเหนือคู่แข่ง นี่จึงเป็นที่มาของ “แนวคิด Workplace Flexibility” โดยบทความนี้จะเสนอบริษัทที่นำแนวคิดนี้มาใช้และประสบความสำเร็จนั้นคือ IBM กับ SAS และเพื่อให้ง่ายต่อการปรับใช้ในบริบทประเทศไทยจึงขอเสนอ Accenture ซึ่งเป็นบริษัทในประเทศไทยที่นำแนวคิด Workplace Flexibility มาปรับใช้

Workplace Flexibility ในความหมายของ United States Department of Labor คือ กลยุทธ์สากลที่สามารถตอบสนองความต้องการระหว่างองค์กรและพนักงานเกี่ยวกับสถานที่ทำงาน วิธีการทำงาน รวมถึงเวลาในการทำงาน เพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันในการทำงานระหว่างองค์กรและพนักงาน อันจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

IBM ได้ทำการสำรวจ เรื่อง Achieving Success with a Flexible Workplace ในประเทศออสเตรเลีย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และ อเมริกา โดยสอบถามChief Information Officer (CIO) และ ผู้จัดการแผนก IT ที่อยู่ในบริษัทขนาดใหญ่ จากหลากหลายอุตสาหกรรมรวม 675 คน ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากระบุว่า Workplace Flexibility เป็นเรื่องใหม่ที่มีสำคัญโดย 74% ของ CIO และ ผู้จัดการแผนก IT ให้ความสำคัญกับการลงทุนในแนวคิด Workplace Flexibility มากขึ้นเมื่อเทียบกับการลงทุนด้านอื่น ๆ ในช่วงปีถัดไปผู้ตอบแบบสอบถามคาดหวังว่า Workplace Flexibility จะทำให้เกิดการพัฒนาประสิทธิภาพพนักงาน การสร้างความพึงพอใจในการทำงานของพนักงาน การเพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน การลดต้นทุน การเพิ่มรายได้ แม้ Workplace Flexibility จะถูกมองว่าเป็นแนวคิดใหม่และสำคัญ แต่ยังมีข้อสงสัย จาก CIO และผู้จัดการแผนก IT ว่าจะสามารถนำ Workplace Flexibility มาปรับใช้กับองค์การให้เกิดประสิทธิผลและประสิทธิภาพได้อย่างไร จากการสำรวจได้ทำการแบ่งกลุ่มผู้นำ Workplace Flexibility ไปปรับใช้ 4 แบบดังนี้

1. Forward thinkers มีสัดส่วน 9% ระบุว่ามีการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนมากกว่า 20% จากการมีกลยุทธ์ที่สนับสนุนคนทำงานนอกสถานที่ (remote workers) สนับสนุนอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีจำนวนมาก

2. Fast followers มีสัดส่วน 10% ระบุว่าเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต 10% จากการใช้การทำงานแบบเสมือนจริง (virtualization) และใช้ซอฟแวร์ในการบริการ

3. Majority movers มีสัดส่วน 63% ระบุว่า เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต 6% โดยที่เขามองว่า Workplace Flexibility เป็นข้อจำกัดและความเสี่ยง

4. Late adopters มีสัดส่วน 6% ระบุว่าเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต 1%

อุปกรณ์พกพาสามารถสร้างสถานที่ทำงานแบบยืดหยุ่น และเป็นที่ต้องการของผู้ใช้ในการทำงานเนื่องจากโปรแกรมหรือแอพลิเคชั่นจะสนับสนุนการทำงานที่ใดก็ได้ Forward thinkers เห็นโอกาสจากเทคโนโลยีนี้ และกำหนดกลยุทธ์ที่ชัดเจนในเรื่องอุปกรณ์พกพาทำให้สามารถก้าวได้เร็วกว่าธุรกิจอื่นๆ Forward thinkers นำมือถือ ระบบปฏิบัติการณ์ และแอพลิเคชั่นมาใช้ในการทำงานในธุรกิจ Forward thinkers เชื่อว่า bring-your-own-device (BYOD) เป็นกระแสที่จะขยายไปในวงกว้างอย่างรวดเร็ว ซึ่งการสนับสนุนย่อมดีกว่าการที่จะจำกัดการใช้งานสมาร์ทโฟนของพนักงาน Forward thinkers มีการลงทุนแอพลิเคชั่นมือถือ และสร้างคลังแอพลิเคชั่นที่จะสนันสนุนการทำงานร่วมกันทำให้เกิดการสื่อสารสองทาง มีการแบ่งปันข้อมูลระหว่างภายในธุรกิจกับลูกค้าและคู่ค้า สุดท้ายจะกลายเป็นที่นิยมและทำให้การใช้อีเมล์ค่อย ๆ ลดลง

การรักษาความปลอดภัยใน Workplace Flexibility ถูกมองว่าเป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุด Forward thinkers มองว่าสามารถสร้างความปลอดภัยแบบใช้ต้นทุนต่ำใน Workplace Flexibility โดยการใช้ระบบการเข้ารหัส (Password) โปรแกรมรักษาความปลอดภัยของระบบและข้อมูล Forward thinkers คิดว่า outsource หน้าที่ IT จะทำให้มีความหลายหลายในการสร้างแอพลิเคชั่น ทำให้เกิดความร่วมมือกัน และผู้ใช้งานจะให้การสนับสนุนในการเตรียมการ สุดท้ายพนักงาน IT จะมีเวลาเหลือสามารถไปทำงานอื่น ๆ ที่สนับสนุนให้เกิดผลกำไรแก่บริษัท

บริษัท IBM ได้สนับสนุนการศึกษาเรื่อง Workplace Flexibility ของ Working Mother ในประเด็น What Reality Works: Lesson Learned From 25 Years of Workplace Flexibility Leadership ซึ่งการศึกษาครั้งนี้พบว่า Workplace Flexibility มีความเกี่ยวข้องกับการจัดการที่มุ่งเน้นผลลัพธ์เป็นหลัก โดย Diane Burrus ระบุปัจจัยที่จะทำให้ Workplace Flexibility ประสบความสำเร็จ มีดังนี้

1. Flexible Work Arrangements คือ ตารางการทำงานแบบมีทางเลือก หรือ การทำงานจากสถานที่อื่น โดยต้องมีนโยบายและแนวทางในการจัดการระยะยาวอย่างชัดเจน

2.  Informal, occasional, day-to-day คือการที่สามารถเปลี่ยนตารางการทำงาน หรือสถานที่ทำงานในแต่ละวันเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนบุคคลแต่ยังคงตอบสนองความต้องการธุรกิจได้

3. Career flexibility คือ การสร้างทางเลือกในสายอาชีพ ที่สามารถปรับเปลี่ยนตามภาระงานและความก้าวหน้าที่สอดคล้องไปกับรูปแบบการดำเนินชีวิต โดยไม่ส่งผลกระทบต่อโอกาสและเป้าหมายในการทำงาน

เพื่อความเข้าใจ ในการนำ Workplace Flexibility ไปปรับใช้ในองค์กรจึงขอแบ่งปันบริษัท ที่มีการใช้ Workplace Flexibility โดยบริษัทแรกขอเสนอ IBM

บริษัท IBM ได้รับการจัดอันดับจาก Working Mother ว่าเป็น 1 ใน 100 บริษัทที่เป็นผู้นำด้าน Workplace Flexibility อย่างยาวนาน นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในปี 1986 IBM ได้ให้แนวทางสำหรับ Workplace Flexibility ไว้ดังนี้

> IBM ไม่เคยหยุดนิ่งต่อการลงทุนในตลาดโลก แต่ไม่ได้หมายความว่าพนักงานต้องทำงานตลอดเวลา

> IBM มุ่งมั่นที่จะสร้างสมดุลความต้องการระหว่างพนักงาน ลูกค้า และประสิทธิผลของทีมงาน

> IBM มีค่านิยมหลัก คือ ความไว้วางใจและและความรับผิดชอบส่วนบุคคล ซึ่ง IBM คาดหวังว่าการตัดสินใจของผู้บริหารและพนักงาน จะมีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับค่านิยมหลัก โดยต้องแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบส่วนบุคคล

> IBM ต้องการจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั่วโลก ฉะนั้นการตอบสนอง คือ สิ่งสำคัญ ทำให้พนักงานอาจจะต้องทำงานตลอดสัปดาห์ ทำงานไม่เป็นเวลาหรือทำงานจากที่บ้าน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการทางธุรกิจ ลูกค้า บทบาทของแต่ละบุคคลและความยืดหยุ่น

> IBM เน้นการเข้าใจรูปแบบการทำงานที่แตกต่างกันในโลกยุคโลกาภิวัฒน์พนักงานทุกคนต้องใช้ดุลยพินิจอย่างระมัดระวังในการพิจารณาความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า ผู้บริโภค เพื่อนร่วมงาน หรือกระทั่งชุมชนที่เข้าไปดำเนินธุรกิจ พนักงานต้องทำความเข้าใจความแตกต่างของวัฒนธรรม ประเพณี, วันหยุด, ภาษารวมถึงสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการทางธุรกิจ ความต้องการส่วนบุคคลของแต่ละผู้มีส่วนได้เสียและผลกระทบของการตัดสินใจทางธุรกิจ นอกจากนี้ยังต้องขอข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสม เพื่อให้ธุรกิจ ผู้บริโภค ลูกค้า พนักงานได้รับสิ่งที่ดีที่สุด

> ในโลกยุคใหม่ของการทำงาน บางงานพนักงานไม่จำเป็นต้องไปทำที่ทำงาน IBM มุ่งเน้นที่ เป้าหมาย ผลลัพธ์และการวัดผลการปฏิบัติงานจากการทำงาน ซึ่งจะเป็นโอกาสสำหรับพนักงานในการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า

 

ลำดับถัดมาจะเสนอ แนวคิด Workplace Flexibility ของ SAS Institute ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 1976 โดย ดร.จิม กู๊ดไนท์ ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์การวิเคราะห์ทางสถิติและเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นสูง แนวคิด Workplace Flexibility  ของบริษัทนี้ คือให้พนักงานเป็นผู้กำหนดเอง (custom-fit) สามารถจัดการเวลาทำงานได้ตามความเหมาะสม ตามลักษณะการดำรงชีวิต นับว่าเป็นแนวคิดที่ล้ำสมัย (cutting-edge) เหมาะสมกับองค์กรที่ต้องเผชิญความท้าทายต่างๆ โดยแนวคิดนี้เกิดจากการที่องค์กรพยามพัฒนาศักยภาพของพนักงานเพื่อทำให้กำไรขององค์กรเติบโต มุ่งตอบคำถามด้านการจัดการที่ว่าพนักงานสามารถจัดการภาระงานให้สำเร็จได้อย่างไร และมีแนวทางใดบ้างที่พนักงานจะสามารถจัดการภาระงานได้ดีที่สุด พร้อมทั้งยังต้องเป็นวิธีที่มีความเคารพซึ่งกันและกัน และก่อให้เกิดประโยชน์กับเพื่อร่วมงานและองค์การ จึงเกิดแนวปฏิบัติดังนี้

> การทำงานเสมือนจริง (Virtual Work) ไม่ว่าอยู่ที่ใดสามารถทำงานได้ ไม่ว่าจะเป็นการประชุมทางไกลการทำงานทางไกล ทุกที่เป็นเหมือนที่ทำงาน พนักงานไม่จำเป็นต้องเข้าสำนักงาน แต่สามารถทำงานมาจากข้างนอกได้ (Remote Working)

> สามารถเลือกปริมาณการทำงานได้ (On-demand Work) เป็นแนวทางที่นำมาใช้กับกลุ่มคนเก่ง ศักยภาพสูง (Talent) ที่ไม่ต้องการเป็นลูกจ้างประจำ แต่ทำงานตามงานที่เลือกหรือสัญญาตกลงกัน สามารถทำงานจากที่บ้านได้

> สร้างเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพ (Redesigning Career Tracks) โดยการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเลื่อนตำแหน่งในองค์การที่ล้าสมัย ให้สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนไปของพนักงาน โดยมุ่งหวังเพื่อที่จะรักษาคนเก่งที่มีศักยภาพไว้

> อนุญาตให้พนักงานทำงานและเลี้ยงดูเด็กในที่ทำงานได้ (Integrating Kids and Work) โดยอนุญาตให้พนักงานที่มีบุตรช่วง 6-8 เดือน หรือ เริ่มคลาน มาดูแลที่บริษัทพร้อมทำงานได้

> สร้างความมุ่งมั่นในงาน (High-commitment Work Practice) โดยให้อำนาจการตัดสินใจกับพนักงานในงานที่รับผิดชอบ เปิดโอกาสให้ทีมงานทำงานอย่างอิสระ

จากแนวคิด Workplace Flexibility ระดับโลกที่กล่าวถึงในข้างต้นก็จะกล่าวถึงแนวคิดเดียวกันนี้ที่มีการนำมาปรับใช้ในประเทศไทย โดยบริษัทที่จะนำเสนอ เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้าน IT คือ Accenture ซึ่ง Accentureเชื่อว่า Workplace Flexibility จะช่วยให้พนักงานมีความสุขในชีวิตทำงานและมี Work Life Balance จึงนำแนวคิด Workplace Flexibility มาปรับใช้กับองค์กรโดยมีแนวคิดหลัก 6 รูปแบบดังนี้

1. ตารางเวลาการทำงานแบบยืดหยุ่น (Flex time schedule) คือ การที่บริษัทอนุญาตให้พนักงาน เริ่มงานหรือเลิกงานเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ต้องมีชั่วโมงการทำงานตามที่บริษัทกำหนด ซึ่งใน 1 สัปดาห์อาจทำงานไม่ถึง 5 วัน

2. การจัดการงานแบบ Part-time (Part-time arrangement) คือ การช่วยให้พนักงานมีเวลาทำงานที่น้อยลง อาจจะทำงานเพียงสองสามชั่วโมงต่อวัน หรือ ทำงานเพียงแค่สองสามวันต่อสัปดาห์ โดยทำการออกแบบตำแหน่งงานใหม่เพื่อลดภาระงาน กำหนดความรับผิดชอบให้เหมาะสมกับชั่วโมงการทำงาน

3. การแบ่งปันงาน (Job-sharing arrangement) คือ การแบ่งงานหนึ่งตำแหน่งให้พนักงาน 2 คนรับผิดชอบ โดยให้ทำงานเดียวกัน (ตารางการทำงานของแต่ละคนจะมีลักษณะเป็น part-time) ซึ่งทำให้พนักงานยังคงสามารถทำงานให้แก่บริษัทได้แม้ว่าจะต้องนำเวลาบางส่วนไปใช้ในชีวิตส่วนตัว

4. การทำงานทางไกล/การทำงานที่บ้าน (Telecommuting/home working) คือ การช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้จากสถานที่ต่างๆ ซึ่งจะทำให้สามารถลดเวลา ต้นทุนและความเครียดจากการเดินทางของพนักงานได้ ขณะเดียวกันก็สามารถลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพื้นที่สำนักงานได้

5. Fly-backs คือ การสนับสนุนให้พนักงานมีสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงานด้วยการเดินทาง (ในกรณีที่เป็นที่ปรึกษามืออาชีพ) โดยบริษัทจะให้พนักงานสามารถบินกลับภูมิลำเนา, สามารถพาใครก็ได้เดินทางไปด้วย, และสามารถไปสถานที่อื่นในระหว่างทางกลับบ้าน

6. การจัดการลูกค้าแบบยืดหยุ่น (Client-site flexible work arrangements) คือ การช่วยให้ที่ปรึกษามืออาชีพลดเวลาเดินทางไปยังสถานที่ทำงานของลูกค้า ให้เขามีสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว ทางเลือกการทำงานที่ยืดหยุ่นนี้จะช่วยให้เขามีเวลาส่วนตัวในขณะเดียวกันก็ให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าได้

การทำงานในโลกอนาคตจะมีรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป ต่อไปจะไม่ใช่ลักษณะการทำงานที่ต้องเข้าสำนักงานทุกวัน หรือมีเวลาเข้าออกที่ชัดเจน แต่จะเปลี่ยนไปสู่การทำงานที่มีความยืดหยุ่นสูงทั้ง เรื่องเวลาในการทำงาน สถานที่ทำงาน หรือลักษณะงาน ดังนั้นธุรกิจควรเตรียมพร้อมรับกับมือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยี และ Life style ในการดำรงชีวิตของคนรุ่นใหม่ อย่าง Gen Y และ Gen Z ที่เน้นเรื่อง Work life Balance ซึ่ง Workplace Flexibility อาจจะเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจและคนทำงาน ดั่งคำพูดของ Donna Purcell ผู้จัดการความหลากหลายของ Commonwealth Bank ที่ว่า

“Creating an environment where people can be themselves is a good thing for Everyone in an organization”

Tag:
No items found.
Share this post:
KHON

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024