>
จะเกิดอะไรกับองค์กรของคุณเมื่อ Quiet Quitting มาเคาะประตู
February 22, 2023

จะเกิดอะไรกับองค์กรของคุณเมื่อ Quiet Quitting มาเคาะประตู

องค์กรระดับชั้นนำจำนวนมากมีความสนใจที่จะรับทราบความรู้สึกของพนักงานในองค์กรโดยใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า “Employee Engagement Survey”

โดยวัตถุประสงค์หลักของเครื่องมือนี้ คือ การสำรวจความคิดเห็นพนักงานใน 3 เรื่อง

Say พนักงานพูดถึงองค์กรอย่างไร พูดถึงในแง่ดีหรือเชื้อเชิญคนให้อยากมาทำงานกับองค์กรหรือไม่

Stay พนักงานต้องตัดสินใจอย่างหนักที่จะต้องลาออกจากองค์กรหรือไปอยู่กับคู่แข่งหรือไม่

Strive พนักงานอยากจะทุ่มเทในการทำงานให้กับองค์กรทำงานด้วย Passion เพื่อหวังผลงานชั้นเลิศ หรือไม่

เมื่อได้ผลสำรวจแล้วก็จะนำมาวัดค่าคะแนนและนำมาเทียบกับปัจจัยอื่นในด้านการบริหารองค์กร ที่ส่งผลต่อทั้ง Say Stay และ Strive เพื่อดำเนินการวางแผนแก้ไขเพื่อหวังให้คะแนนดีขึ้นโดยสิ่งที่องค์กรอยากจะสร้างมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นเรื่องการสร้างให้พนักงานมีความทุ่มเทในการทำงานเพื่อให้เกิด Productivity สูงที่สุด

พนักงานอาจจะไม่จำเป็นต้องพูดถึงองค์กรในแง่ดีแก่ผู้อื่นหรือเป็นเชิญชวนคนนอกให้มาร่วมงานกับองค์กร (Say) แต่ถ้าองค์กรมีแต่คนที่ยินดีที่จะอยู่กับองค์กรไปเรื่อยๆ (Stay) และไม่สามารถหาคนที่มีความทุ่มเท มี Passion ในการทำงาน (Strive) จะเกิดอะไรขึ้นกับองค์กร?

Working Just Hard Enough Not to Get Fired

การทำงานในระดับที่จะไม่ได้โดนไล่ออก

ประโยคนี้อธิบายปรากฎการณ์ Quiet Quitting ได้เป็นอย่างดี ครั้งแรกที่ได้ยินคำนี้ผมเองก็คิดว่าหมายถึงการลาออกไปแบบเงียบๆ โดยไม่ได้บอกใครหรือเปล่าเพราะดูความหมายจากคำนี้ก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนในการตีความ แต่ความเป็นจริงแล้ว Quiet Quitting มีที่มาจากผู้ใช้ Application Tiktok ซึ่งทำงานเป็นวิศวกรที่อยู่ในเมือง New York ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งพยายามจะแชร์ไอเดียของตนเอง ที่ไม่ต้องการจะทำงานมากๆหรือทุ่มเทการทำงานไปมากกว่าสิ่งที่กำหนดไว้ใน Job Description หรือ“จะทำงานเฉพาะตามหน้าที่ที่กำหนด” (แบบไม่ให้โดนบริษัทมาไล่ออกได้)ไม่สามารถทนที่จะทำงานเยอะๆต่อไปได้อีก Feed นี้ใน Tiktok มีคนเข้ามาดูกว่า 3 ล้านครั้งซึ่งมีความสอดคล้องกับการสำรวจความผูกพันของพนักงานที่มีต่อองค์กร (Employee Engagement Survey) จาก Gallup พบว่าคะแนนผลสำรวจกลุ่มที่มีความผูกพันกับองค์กร (Engaged) ของคนทำงานในสหรัฐอเมริกาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 36% ในปี 2020 ลงมาที่ 32% ในปี 2022 จาก Trend Quiet Quitting นี้ก็พอจะสะท้อนได้ว่าคนทำงานไม่ต้องการที่จะ Strive หรือทำงานทุ่มเทให้กับองค์กรโดยที่ยังไม่เห็นว่าจะได้อะไร แต่ก็ยังไม่อยากจะไปทำงานที่อื่นเนื่องจากการหางานใหม่ยากลำบาก หรืออยู่ในยุคที่เศรษฐกิจไม่คล่องตัวเหมือนในยุคนี้ทำให้คนเลือกที่จะเกาะเก้าอี้ตัวเองไว้ ไม่ไปไหนจนกว่าจะมีโอกาสที่ดีจริงๆจึงค่อยคิดว่าจะไปจากองค์กร และก็ยังมีแนวโน้มที่จะ"ไม่ผูกพัน" คือไม่ Say Stay Strive สูงขึ้นในรอบหลายๆปีที่ผ่านมาอีกด้วย ดังแผนภาพนี้

Work / Pay / Time

เพื่อให้เห็นภาพของ Quiet Quitting มากขึ้นนักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่าสถานการณ์ Covid-19 มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิด Trend ใหม่นี้ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคระบาดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้คนต้องทำงานอยู่ที่บ้าน ไม่สามารถออกไปพักผ่อนหย่อนใจหรือได้ปรับทุกข์กับเพื่อนที่ทำงานแบบพบหน้ารวมถึงบางคนก็อยู่ในองค์กรที่อยู่ในสถานะเอาตัวรอดจากเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้ต้องทำงานหนักขึ้นโดยไม่ได้ค่าตอบแทนเพิ่มเติมส่วนหนึ่งพนักงานก็มีความเข้าใจในสถานการณ์แต่ก็ไม่แปลกที่พนักงานจะเกิดอาการอ่อนล้าหรือที่เรียกว่า Burn Out ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของชาว Quiet Quitting ซึ่งมีความต้องการที่จะสร้างสมดุลใน 3 ด้าน เรื่องของงาน (Work) ต้องการทำงานตามหน้าที่หรือตามที่ตกลงกัน ไม่ต้องการทำอะไรใหม่ ทำอะไรเพิ่มเพราะคิดว่าทำให้เหนื่อยหรือไม่มีเวลาพักผ่อนสูญเสียเรื่องของ Work and Life Balance เรื่องของการจ่าย (Pay) พวกเขาสามารถทำงานเพิ่มขึ้นได้หากได้รับค่าตอบแทนที่ตนเองคิดว่าเหมาะสม และเรื่องสุดท้ายคือเรื่องของเวลา (Time) การทุ่มเททำงานหลังเวลาทำงานเป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในความคิดของชาว Quiet Quitting จริงๆแล้ว คงพูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นสิ่งที่ผิดแต่ก็ดูจะขัดแย้งกับความต้องการขององค์กรที่อยากเห็นพนักงานมีความเป็นเจ้าขององค์กร (Ownership) ทำงานเสมือนว่าเป็นธุรกิจของตนเอง ถ้าองค์กรของคุณเกิดสถานการณ์แบบนี้จะไปต่ออย่างไรดี?

สัญญาณบอกเหตุว่าพนักงานของคุณอาจะเป็น Quiet Quitter

· ไม่อยากมีส่วนร่วมกับงานโครงการที่ทำงานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน

· จากที่เคยทำงานได้มาตรฐานสูง แต่จู่ๆก็มีความตั้งใจที่จะทำงานตามมาตรฐานขั้นต่ำหรือพอผ่าน

· ไม่สร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานปลีกตัวจากสมาชิกคนอื่นๆ ไม่เข้าร่วมกิจกรรมขององค์กร

· งดแสดงความคิดเห็นในการประชุมหรือเสนอตัวที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ทั้งที่มีโอกาสหรือความสามารถ

หากองค์กรของคุณอยู่ในช่วงที่เติบโตและไม่ต้องการจะเติบโตเพิ่มแล้วอาจไม่เป็นไรและไม่ส่งผลกระทบอะไรกับองค์กร แต่ถ้าองค์กรของคุณอยู่ในช่วงล้มลุกคลุกคลานตั้งไข่ หรือกำลังอยู่ในช่วงขยายตัวการมีพนักงานที่ต้องการทำงานเพียงแค่ไม่ให้โดนไล่ออก น่าจะมีปัญหาแน่ เพราะองค์กรจะหาพนักงานที่จะมาร่วมสู้ร่วมสร้างการเจริญเติบโตให้กับองค์กรคงจะหาได้ยากวิธีที่พอจะช่วยไขปัญหาและลดอาการ Quiet Quitting ได้แก่การรับฟังความต้องการของพนักงาน ถ้าองค์กรมีการทำการสำรวจ Employee Engagement Survey อาจจะต้องขุดคุ้ยลงไปให้เจอว่าปัจจัยอะไรที่ส่งผลให้พนักงานทุ่มเทในการทำงาน (Strive) แล้ววิเคราะห์ต่อไปว่าปัจจัยอะไรที่ช่วยสร้างความทุ่มเทในการทำงานการส่งเสริมบทบาทของหัวหน้างานในการทำให้บรรยากาศในการทำงานดีขึ้นรวมถึงการทำความเข้าใจความต้องการหรือความคิดของพนักงานแต่ละคนบางคนคิดว่าค่าตอบแทนไม่เหมาะสมกับงาน บางคนคิดว่าปริมาณงานเยอะเกินไปหรือมีคนที่ได้รับมอบหมายงานไม่เท่าเทียมกันหรือไม่ต้องการทำงานหลังเวลาเลิกงานเพราะมีภาระที่จะต้องดูแล

แม้ว่าเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า Quiet Quitting ไม่ส่งผลดีกับองค์กรโดยเฉพาะองค์กรที่อยู่ในระหว่างการเติบโตซึ่งต้องการพนักงานที่มี Passion หรือทุ่มเททำงานเพื่อองค์กร แต่ข้อคิดสำหรับพนักงาเองก็น่าสนใจหากคุณตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะเป็น Quiet Quitter อาจส่งผลต่อ Career หรือโอกาสในการก้าวหน้าของคุณในระยะยาวการอยุ่ในสภาพนี้เป็นระยะเวลานานๆอาจทำให้คุณเกิดอาการเคยชินทำให้ไม่สามารถรับแรงต้านหรือปรับตัวถ้าวันนึงต้องเจอสถานการณ์ที่มีความจำเป็นต้องทำงานหนักได้หรือในด้านของการพัฒนาทักษะบางอย่าง ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานอกเหนือจากการทำงานหากคุณปฏิเสธการสนับสนุนเรื่องการพัฒนาจากองค์กรเพราะไม่อยากใช้เวลาส่วนตัวหรือการพัฒนาทำให้รบกวนเวลาทำงานทำให้คุณต้องทำงานล่วงเวลาทักษะของคุณอาจจะไม่ได้รับการพัฒนา และองค์กรอาจจะมองหาเทคโนโลยีหรือบริษัท Outsource ภายนอกที่สามารถทำงานแทนคุณได้ เข้ามาทำงานแทนคุณโดยเฉพาะการทำงานในส่วนที่ไม่ต้องการการทำงานจากพนักงานหรือต้องการ Ownership สูงเพราะฉะนั้นการเดินทางสายกลางคือการพูดคุยสื่อสารกับหัวหน้างาน บริหารความคาดหวังรับทราบภาระหน้าที่ส่วนตัว หรือความต้องการส่วนตัวที่เราต้องการ ทุ่มเทให้กับงานที่มีความสำคัญก็น่าจะเป็นการพบกันครึ่งทางระหว่างองค์กรและพนักงานได้และพนักงานก็ยังทำงานได้อย่างมีความสุขและสร้างสมดุลในชีวิตได้อีกด้วยน่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจนะครับ

 

 

ที่มา

When Quiet Quitting Is Worse Than the Real Thing - HBR

Is Quiet Quitting Real? - Gallup

What is quiet quitting? - World Economic Forum

Quiet quitting เทรนด์ทำงานที่กำลังมาแรงใน TikTok คืออะไร - BBC
รู้จัก Quiet Quittingเมื่อคนรุ่นใหม่แก้ปัญหาหมดไฟ ด้วยการทำงานแค่ตามหน้าที่ - Techsauce

รู้จัก Quiet Quitting เทรนด์การทำงานใหม่เลี่ยงภาวะหมดไฟ กับ 6สัญญาณจับสังเกต Quiet Quitter ในที่ทำงาน - Marketing Oops

ส่องปรากฏการณ์ Quiet Quitting ที่คนรุ่นใหม่ไม่เชื่อ‘วัฒนธรรมการทำงานหนักแล้วจะได้ดี’ พร้อมคำแนะนำสำหรับองค์กรเพื่อรับมือ - TheStandard

Quiet Quitting อาจไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ผู้เชี่ยวชาญแนะ ทำ 3 สิ่งนี้เป็นอันดับแรก - The Standard

Tag:
No items found.
Share this post:
ชินภัทร์ สุวรรณพุ่ม

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024