>
จะเปิดออฟฟิตกลับมาใหม่ อย่าลืมเปิดใจคนทำงาน
October 10, 2021

จะเปิดออฟฟิตกลับมาใหม่ อย่าลืมเปิดใจคนทำงาน

การระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยก็ได้ผ่านกาลเวลามาเกือบๆ สองปีแล้ว หลายๆ ธุรกิจก็เริ่มที่จะปรับตัวเข้ากับการใช้ชีวิตอยู่กับ COVID-19 จากการที่ให้ทำงานจากที่บ้าน 100% ก็เริ่มจะมีการเรียกเข้าทำงานใน Office กันบ้างแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าพนักงานทุกคนจะพร้อมที่จะกลับเข้ามาทำงานที่ออฟฟิตทุกคน ยกตัวอย่างจากผลสำรวจของประเทศที่เริ่มเปิดประเทศแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาพบว่าพนักงานกว่า 80% ยังต้องการที่จะมีวันทำงานที่บ้านอยู่ ซึ่งอาจเป็นเพราะจากสถานการณ์การติดเชื้อที่ยังมีอยู่ หรือมีภารกิจที่ต้องดูแลลูกที่ยังต้องเรียนหนังสือออนไลน์จากที่บ้านก็ตามที

อย่างไรก็ดีหากองค์กรของท่านจะต้องทำการเรียกพนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิตแล้ว หัวหน้างาน หรือผู้นำระดับกลาง รวมไปถึง HR เองอาจจะรู้สึกลำบากใจที่ต้องแจ้งข่าวนี้กับพนักงาน ซึ่งไม่ต้องกังวลว่าเป็นแค่คุณเพียงคนเดียว เพราะผลสำรวจจาก Harvard Business Review จากพนักงานจำนวน 1,697 คนพบว่า 58% รู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะต้องแจ้งข่าวให้ทีมงานกลับไปทำงานที่ออฟฟิต และ 29% มีความต้องการที่จะปฎิบัติงานที่บ้านต่อ โดยที่รู้สึกว่าองค์กรหรือหัวหน้างานนั้นบีบบังคับพวกเขาอ้อมๆ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้เช่นกันที่พนักงานชาวไทยที่ต้องเผชิญกับการเปิดทำงานของออฟฟิตในประเทศไทยที่ยังมีผู้ติดเชื้อหลักหมื่นคน และยังมีบางกิจการยังถูกสั่งปิด นั้นก็อาจจะมีเกิดการตั้งคำถามในการกลับมาทำงานในออฟฟิตรวมไปถึงเกิดความไม่มั่นใจ และส่งผลต่อระดับความเชื่อมั่นของพนักงานต่อองค์กรของเราได้เช่นกัน

ฉะนั้นบทความนี้จะชวน HR หรือผู้นำในองค์กรที่ต้องวุ่นกับการเตรียมการเปิดออฟฟิต นอกจากจะต้องเตรียมพร้อมเรื่องการสนับสนุนทำงานในแง่มุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมสถานที่ มาตรการความปลอดภัย การดูแลสุขอนามัยพนักงานไม่ว่าจะเป็นการตรวจ ATK รวมไปถึงวิธีการทำงานในบริษัท เช่น Bubble and Seal หรืออื่นๆ ยังจะต้องเตรียมความพร้อมกับสภาพจิตใจของพนักงานให้มีความเข้าใจ และเปิดใจให้พร้อมกลับเข้ามาปฎิบัติงานที่ออฟฟิตด้วยโดยจะชวนพิจารณาด้วยหลัก 3 ข้อ ดังนี้

1. สื่อสารด้วยความชัดเจน และติดตามผลอยู่เสมอ

การเปิดออฟฟิตใหม่รอบนี้ จำเป็นจะต้องมีมาตรการต่างๆเพื่อความปลอดภัยของคนในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการตรวจ ATK ในกี่วัน การรักษาระยะห่างในออฟฟิต รวมไปถึงการดูแลจุดสัมผัสต่างๆให้มีความสะอาด และปราศจากเชื้อโควิดที่จะแพร่ใส่คนที่มาทำงานได้ ซึ่งมาตรการเหล่านี้นอกจากจะเป็นประโยชน์ในการควบคุมความเสี่ยงจากโควิด-19 แล้ว ยังเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับพนักงานให้กลับมาทำงานในออฟฟิต องค์กรจึงจำเป็นต้องมีการสื่อสารให้ชัดเจน ทั้งผ่านทางการพูดคุย การให้ข้อมูลข่าวสารให้พนักงานเห็นผ่านตาไม่ว่าจะเป็นทางป้ายประกาศ Social Network ของ Office หรือช่องทางการสื่อสารอื่นๆที่บริษัทของคุณใช้อยู่ เพื่อสร้างความมั่นใจในการกลับเข้ามาทำงานอีกด้วย

นอกจากมาตรการเรื่องอาชีวอนามัยแล้ว การเปิดออฟฟิตในช่วงที่หลังจากการทำงานที่บ้านมาเป็นเวลานาน และวิธีการทำงานบางอย่างขององค์กรเปลี่ยนไป ก็อาจทำให้พนักงานบางกลุ่มเกิดการสับสนกับความเปลี่ยนแปลงว่าหน้าที่ หรือคุณค่าที่เขาจะสามารถทำให้องค์กรยังเหมือนเดิมหรือไม่ ยกตัวอย่าง เช่น งานเดิมอาจจะเป็นเรื่องของการจัดการเดินเอกสารลงนามที่เป็นกระดาษ เมื่อกลับมาทำงานงานนี้อาจจะไม่ต้องทำแล้ว องค์กรก็ต้องมีการสื่อสารเกี่ยวกับงานสิ่งใหม่ที่เขาจะได้รับ และมีช่องทางในการชื่นชมเมื่อพนักงานท่านใดปรับตัวได้ อาจจะออกเป็นในเชิงประชาสัมพันธ์ หรือเป็นรางวัลเล็กๆน้อยๆที่ให้คนในองค์กรเห็นภาพชัดเจนในการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลง

และสิ่งที่สำคัญอีกเรื่องหลังจากการสื่อสารคือองค์กรจะต้องมีการติดตามมาตรการต่างๆที่ออกไปอยู่เสมอ เพื่อให้ทราบว่ามาตรการนี้ยังเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันหรือไม่ เป็นผลบวกหรือผลลบกับองค์กรมากน้อยแค่ไหน ถ้าจะให้ดี ควรมีหลักเกณฑ์ในบางเรื่องที่สำคัญกับทางธุรกิจ เช่นการเปิดหรือปิดออฟฟิตที่สอดคล้องกับจำนวนผู้ติดเชื้อหรือเสียชีวิตในประเทศ โดยมีการสื่อสารให้พนักงานได้ทราบล่วงหน้าด้วย เพื่อที่พนักงานจะสามารถคาดการณ์ได้ระดับหนึ่ง และมีข้อมูลที่ถูกต้องเพียงพอในการบริหารจัดการทั้งในเรื่องของงานและเรื่องส่วนตัว

2. เปิดพื้นที่ในการแสดงความไม่สบายใจ/เรื่องติดขัดของพนักงาน

แม้องค์กรจะสื่อสารมากเพียงใดก็ตาม แน่นอนว่ายังจะต้องมีพนักงานบางส่วนที่ติดขัด หรือมีข้อไม่สบายใจ มีผลสำรวจจาก envoy ที่ทำกับพนักงาน 1000 คนในสหรัฐอเมริกาพบว่า  66% ของพนักงานมีความกังวลที่จะกลับมาทำงานในออฟฟิต

ทั้งจากกรณีของความกลัวการติดเชื้อ ทั้งจากการกรณีการเป็นห่วงคนทางบ้าน ไม่ว่าจะเป็นห่วงการติดเชื้อไปยังที่บ้าน หรือปัญหาว่าจะต้องดูแลลูกในการเรียนออนไลน์ขณะที่อยู่บ้าน ในขณะเดียวกันองค์กรก็เรียกตัวให้กลับมาทำงานที่ออฟฟิตแล้ว จึงจะเกิดความไม่สบายใจกับพนักงานในกลุ่มนี้เป็นแน่ แม้ว่าองค์กรจะไม่สามารถแก้ไขทุกปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นได้ทั้งหมด แต่มีสิ่งหนึ่งที่องค์กรสามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาได้คือการสร้างความปลอดภัยในเชิงจิตวิทยาให้เกิดขึ้นในที่ทำงาน ซึ่งเป็นความเชื่อที่มีร่วมกันในทีมว่าสมาชิกมีความเชื่อใจในทีม มีความเคารพซึ่งกันและกัน รู้สึกสบายที่จะเป็นตัวของตัวเอง รู้สึกปลอดภัยที่จะยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นและตอบสนองต่อความผิดพลาดอย่างสร้างสรรค์ โดยการเปิดพื้นที่ให้พนักงานแสดงความไม่สบายใจ หรือสิ่งที่ติดขัดของพนักงานออกมา อาจจะโดยมี Platform รองรับผ่านทางการบริการของ HR หรือมีการจัดนักจิตวิทยามาให้บริหารให้คำปรึกษา หรือแม้กระทั่งอาจจะทำเป็นกิจกรรมให้หัวหน้างานสามารถพูดคุยกับพนักงานในทีมของตัวเอง โดยผ่านการช่วยเหลือของทีม HR ที่จะสนับสนุนเครื่องมือในการพูดคุยกับพนักงาน เพื่อจะเปิดใจของพนักงานให้ระบายความติดข้องของตัวเองออกมา

ซึ่งความติดข้องเหล่านี้ก็จะเป็นข้อมูลที่ทำให้องค์กรสามารถออกนโยบายเพื่อช่วยเหลือ หรือบริหารจัดการปัญหาเหล่านี้ได้ และช่วยตรวจจับอาการความไม่สบายใจของพนักงานก่อนที่พนักงานจะรู้สึกไม่มีความสุขและลาออกไป เหมือนกับการเกิด The Great Resignation ที่พนักงานในสหรัฐอเมริการลาออกหลายล้านคนเนื่องจากองค์กรเรียกกลับเข้ามาทำงานที่ออฟฟิต อันจะส่งผลเสียหายให้กับองค์กรในเรื่องของ Productivity ที่อาจจะกระทบจากคนลาออกได้

3. เชื่อมความสัมพันธ์เข้าด้วยกัน

การทำงานที่บ้านเป็นเวลานานแม้ทำให้บางคนคิดถึงความสัมพันธ์กับผู้คน จนทำให้เกิดความเครียดและเกิดการ Burn out ได้ ในทางกลับกันการที่ได้ทำงานจากที่บ้านเป็นเวลานานทำให้พนักงานบางคนกลับมาพิจารณาเป้าหมายในชีวิตของตนเองใหม่ มีผลสำรวจในสหรัฐอเมริกาที่แสดงให้เห็นว่าพนักงาน 25% มีแนวโน้มจะลาออกหลังจากจบช่วงการระบาดใหญ่นี้ ซึ่งการศึกษาของ Gallup เปิดเผยว่าการมีเพื่อนที่ดีในที่ทำงานจะช่วยสร้าง Engagement อย่างมากให้เกิดขึ้นกับทีมงาน ดังนั้นในฐานะองค์กรการช่วยรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคนในทีมเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยรักษาพนักงานเอาไว้ให้กับองค์กรได้ โดยอาจจะมีการเปิดช่วงให้มีการสังสรรค์กันอย่างรักษาระยะห่าง หรือมีการจัด Happy Hour ในการพูดคุยเรื่องสารทุกข์สุขดิบระหว่างกัน หรือแม้กระทั่งสนับสนุนในตัวงาน โดยการบริหารงานให้มีการติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในองค์กรก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ

สุดท้ายนี้ การที่องค์กรต้องการเปิดออฟฟิตอีกครั้งเพื่อเรียกประสิทธิภาพในการทำงานให้ออกมานั้น องค์กรจำเป็นต้องดูแลและใส่ใจเปิดใจคนทำงานในการที่จะกลับมาทำงานที่ออฟฟิตด้วย ให้เขามีความพร้อมทั้งกายและใจในการที่จะกลับมาส่งมอบงานที่ดีมีคุณภาพให้กับองค์กร เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าผลลัพธ์ขององค์กรทุกๆเรื่อง ล้วนแล้วแต่เกิดจากคนที่มาทำงานให้กับองค์กร ไม่ได้เกิดจากสถานที่ทำงานที่เปิดขึ้นมาแต่อย่างใด

Ref.

https://hbr.org/2021/07/help-your-employees-who-are-anxious-about-returning-to-the-office

https://hbr.org/2021/07/how-to-have-tough-conversations-about-returning-to-the-office

https://hbr.org/2021/08/returning-to-the-office-will-be-hard-heres-how-managers-can-make-it-easier

https://hbr.org/2021/08/how-to-have-those-difficult-return-to-office-conversations

https://www.gallup.com/workplace/236213/why-need-best-friends-work.aspx

Tag:
No items found.
Share this post:
วัฒนศักดิ์ วิบูลย์ชัยกุล

Related Knowledge Hub

Join for free and get personalized recommendations, updates and offers.
No items found.
Global trend to VUCA World
แนวโน้มการจ้างงานใหม่ของทั้งโลกจะอยู่ที่เอเชีย ในยุโรปจะมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่คนชั้นกลางประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในเอเชีย เพราะฉะนั้นเอเชียจึงเป็นย่านที่น่าสนใจในการลงทุน ทำการค้าและอุตสาหกรรม ในเอเชีย ประเทศที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ฮ่องกง แต่ตอนนี้มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น จากจุดเล็ก ๆ เรื่องการเลือกตั้งทำให้ลุกลามไปเป็นใหญ่และยังไม่จบสิ้น เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยาวนาน ส่งผลต่อการค้าการทำธุรกิจ ถ้าพิจารณาทั่วโลกจะพบว่ามีความขัดแย้งแบบนี้ทั้งในประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ อังกฤษ ถ้าหากธุรกิจที่ดำเนินไปด้วยดี แล้วก็มีการประท้วงขึ้นมา เราจะทำอย่างไร และในสมัยนี้มีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการนัดประท้วงผ่านทาง facebook นัดหมายผ่านทาง twitter ให้มารวมตัวกัน และแสดงให้โลกเห็นผลกระทบของการประท้วงผ่านทาง youtube จะเห็นได้ว่า Social Technology เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อมของการแข่งขันการทำธุรกิจ ประกอบกับ Social movement ทำให้หลายเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ไม่ได้ เกิดอย่างรวดเร็วรุนแรง และถ้าเราไม่สามารถควบคุมให้ดี ผลเสียที่จะเกิดแก่ธุรกิจย่อมจะมากขึ้น
December 18, 2025
No items found.
AI จะมาแย่งงานคน HR ได้หรือไม่
กระแสของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่ได้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เห็นความฉลาดที่มันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คนเราจะทำได้ ทั้งทำได้มากกว่า เร็วกว่า แม่นยำกว่า ได้สร้างให้เกิดความรู้สึกทั้งความตื่นเต้นกับความมหัศจรรย์ของ AI และความวิตกกังวลว่า เราจะถูก AI แย่งงาน เกิดความกังวลไปทุกๆสาขาวิชาชีพ ไม่เว้นแม้เเต่งาน HR
March 27, 2025
No items found.
ใช้ AI โดยยังให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์ด้วย PRIDE
ปฏิเสธไมได้ว่า การนำ AI มาใช้ในองค์กรกำลังกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือกขององค์กร แต่ข้อที่เป็นความกังวลคือ การใช้ AI อย่างไรที่ไม่ทำให้คนในองค์กรรู้สึกถูกด้อยค่าความเป็นมนุษย์ด้วยความสามารถที่เหมือนจะด้อยกว่า AI
December 19, 2024