https://www.facebook.com/pmatHRsociety https://twitter.com/pmathrsociety https://www.youtube.com/user/PMATVideos http://line.me/ti/p/@pmat
Al and the Future of Work: Opportunities and Challenges for Business Leaders
กลับš
 [#ThailandHRTech2023]
Everything Everywhere Augmented
14-15 June 2023 @ Royal Paragon Hall


สรุปสารประโยชน์จาก [#ThailandHRTech2023 Conference]

Topic: Al and the Future of Work: Opportunities and Challenges for Business Leaders
วิทยากร คุณจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา
Founder and Group Chief Executive Officer, Bitkub Capital Group

Bitkub เกิดขึ้นในยุคการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต ซึ่งตอนนั้นมีแอพลิเคชั่นใหม่ๆ ที่ใช้งานอย่างแพร่หลาย ดังนั้น Bitkub สามารถเรียกยุคนั้นว่า "ยุคอินเทอร์เน็ต 2.0" ในช่วงเวลานั้นมีการเกิดสมาร์ทโฟนและแล็บท็อปที่มาแทนที่คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ ในระหว่างเวลาที่เราเกิดมา การสื่อสารภายในองค์กรไม่ใช้อีเมล์แต่ใช้แอปพลิเคชัน Slack เป็นตัวสื่อสารหลัก ซึ่ง Bitkub ใช้กว่า 50 แอปพลิเคชันต่างๆ เพื่อการสื่อสารในองค์กร และในปี 2566 บริษัทใช้แอปพลิเคชันกว่า 100 แอปพลิเคชันเพื่อเพิ่มผลิตภาพขององค์กรให้สูงขึ้น

เราทุกคนกำลังเข้าสู่ยุคอินเทอร์เน็ต 3.0 ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดจากยุค 2.0 ในยุคนี้อินเทอร์เน็ตจะลงมาจากท้องฟ้าโดยใช้ดาวเทียม และเราจะพบกับการใช้งาน AI ที่ช่วยเพิ่มทักษะทางเทคนิคให้กับทุกคนในระดับเท่าเทียมกัน ในสมัยอินเทอร์เน็ต 2.0 การเข้าถึงการสื่อสารและข้อมูลข่าวสารยังคงมีความยากลำบาก กล่าวคือในอดีต โทรศัพท์ระหว่างประเทศมีค่าโทรศัพท์ที่สูงถึง 30-40 บาทต่อนาที ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถจ่ายได้เฉพาะคนรวยเท่านั้น แต่เมื่อมีอินเทอร์เน็ตเข้ามาเปิดให้ใช้งาน สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป โดยมีการเผยแพร่เทคโนโลยี open source ที่ทำให้คนทุกคนสามารถสื่อสารกันได้โดยไม่มีอุปสรรค ในปัจจุบันคนสามารถโทรหากันและมองหน้ากันได้ผ่านอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตได้เป็นตัวกลางที่ช่วยให้คนสามารถเข้าถึงการสื่อสารได้โดยที่ไม่มีอุปสรรคอีกต่อไป
ยุค block chain นี่เป็นยุคที่ Bitkub เกิดขึ้น โดย block chain มีบทบาทสำคัญในการให้คุณค่าแก่สังคม มันทำให้คนสามารถเข้าถึงคุณค่าต่างๆ ในรูปแบบดิจิทัล และสามารถส่งถึงกันทั่วโลกโดยไม่มีข้อจำกัดและกฎเกณฑ์ทางการเงินเช่นเดียวกับที่มีในโลกแบบดั้งเดิม

เมื่อพูดถึง AI มันมีบทบาทให้คุณค่ากับสังคมอย่างมาก ด้วยความสามารถของ AI จะทำให้คนสามารถเข้าถึงความสามารถต่างๆ เช่นการค้นหาข้อมูลใน Google โดยคนที่ค้นหาอย่างเก่งจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า นั่นคือความสามารถที่ไม่เท่าเทียมกัน แต่ในอนาคตเมื่อสนทนากับ AI ที่ชื่อ "แอนนี่" จะเปรียบเสมือนกดเบอร์ 191 ทุกคนสามารถใช้งานได้ทั้งหมด โทรศัพท์ไปและถามอะไรกับแอนนี่ แล้วแอนนี่จะตอบได้ทุกคำถาม ซึ่งหมายความว่าทุกคนสามารถเข้าถึงคำตอบที่ดีที่สุดได้แล้ว ตัวอย่างเช่นถามว่าถ้าต้องการเป็นนายกฯ ต้องทำอะไรบ้าง แอนนี่จะตอบว่ามี 8 อย่างที่ต้องทำเพื่อเป็นนายกฯ นั่นคือความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงเทคนิค อีกตัวอย่างคือเครื่องคิดเลขซึ่งเป็นการปลดล็อกการเข้าถึงทาง

AI ถือเป็นเครื่องคิดเลขที่มีความสามารถอย่างหลากหลาย ไม่เพียงแค่การคำนวณตัวเลขเท่านั้น แต่ยังสามารถทำงานอื่นๆ เช่นการวาดภาพ และทำกราฟิกได้ด้วย AI ได้รับการฝังเข้าไปในแอปพลิเคชันต่างๆ ซึ่งสร้างผลกระทบที่ใหญ่มากๆ และเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร เพื่อให้งานทำได้มากขึ้น ดังนั้น เราสามารถเพิ่มผลิตภัณฑ์ขององค์กรได้โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพ โดยรวม ซึ่งเป็นแนวคิดที่คล้ายกับวิสัยทัศน์ของไมโครซอฟท์ที่ต้องการให้องค์กรทำมากขึ้นด้วยทรัพยากรน้อยลง (do more with less)การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ให้เกิดผลิตภัณฑ์และการบริการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ หากบริษัทมีพนักงาน 50 คน ก็สามารถมีความสามารถเทียบเท่ากับมีพนักงาน 10,000 คน โดยใช้ความสามารถร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI

อย่างไรก็ตามอย่าลืมความจริงที่ว่า การใช้ AI ในการปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้เว็บและแอปพลิเคชัน อาจมีผลกระทบที่ซับซ้อนและมีด้านที่ไม่ดีเพียงด้านเดียว ตัวอย่างเช่นการจัดลำดับเนื้อหาในการให้บริการต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ใช้เห็นเนื้อหาที่เข้ากับความชอบของตนเองมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม เราจะเข้าใจได้ว่าการให้บริการที่เข้ากับความชอบส่วนบุคคลอาจช่วยเพิ่มความน่าสนใจและความตื่นเต้นในการใช้งาน และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้และเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม การให้ความสำคัญแต่ละด้านของสังคม ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อความขัดแย้งหรือความแตกแยก ยังคงเป็นสิ่งที่ซับซ้อนและมีหลายปัจจัยที่มีอิทธิพล รวมถึงเรื่อง self-esteem และความเหงา ซึ่งไม่สามารถจับต้องได้ว่าเป็นผลของ AI เพียงอย่างเดียว

ในทางกลับกัน การพัฒนา AI รูปแบบ generative ที่สามารถสร้างเนื้อหาและข้อมูลใหม่ๆ ได้ อาจเป็นที่ท้าทายและส่งผลกระทบอย่างมาก ตัวอย่างเช่นการใช้ AI เพื่อสร้างข่าวปลอมหรือข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง ที่อาจมีผลกระทบในการสร้างความสับสนและข่าวลือในสังคม ดังนั้น เราควรมีการใช้และพัฒนา AI อย่างรอบคอบและมีความรับผิดชอบ โดยให้คำนึงถึงความสมดุลระหว่างความสนใจของผู้ใช้และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในสังคมที่แตกแยก หากใช้งานอย่างสมดุลและตระหนักถึงผลที่อาจเกิดขึ้น อาจช่วยให้เกิดประโยชน์และความสามารถในการใช้งาน AI ให้เติบโตและสร้างประสิทธิภาพให้กับสังคมได้อย่างยั่งยืน

การใช้งาน Generative AI จะเป็นการใช้ความสามารถของระบบเรียนรู้ของเครื่องจักร AI เพื่อสร้างเนื้อหาใหม่ๆ โดยที่เองไม่ได้รับการเรียนรู้โดยตรงจากมนุษย์ ดังนั้น ในตัวอย่างที่กล่าวมา เมื่อเราให้ AI เรียนรู้วิธีการตกปลา มันจะสามารถสร้างประสบการณ์การตกปลาใหม่ๆ ขึ้นมาโดยอิสระ และเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง เช่น เรียนรู้ว่าวิธีการตกปลาใดที่ทำให้ได้ผลดีและวิธีใดที่ไม่ได้ผล จากนั้น AI ก็สามารถปรับปรุงและพัฒนาวิธีการตกปลาได้เรื่อยๆ ตามผลการทดลองและการเรียนรู้เพิ่มเติมที่เกิดขึ้น เราสามารถใช้ Generative AI ในการสร้างเนื้อหาใหม่ รวมถึงภาพ ดนตรี หรือแม้กระทั่งข้อความ ซึ่งเปิดโอกาสให้เกิดความสร้างสรรค์และนวัตกรรมในหลายๆ ด้านได้

ในยุคปัจจุบันการพัฒนาและการใช้งาน AI มีความหลากหลายและทันสมัยขึ้นมาก โดยมีการใช้งาน AI ที่สอดคล้องกับความเป็นส่วนตัวและกฎหมาย ตลาดและอุตสาหกรรมต่างๆ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ข้อกำหนดของประเทศในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Act: PDPA) และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ

การทดลองหรือวิจัย AI ที่สามารถอ่านความคิดของมนุษย์อย่างละเอียดไม่ได้รับการพัฒนาในทางที่แน่นอนในปัจจุบัน การอ่านความคิดและความรู้สึกของมนุษย์เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและซึ่งยังคงเป็นที่ศึกษาและวิจัยอยู่ในหลายสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยา เรายังไม่มี AI ที่สามารถอ่านความคิดของมนุษย์ได้โดยตรง

มีแนวโน้มว่าในเวลาอันใกล้ เราจะเข้าสู่ยุคที่ มีการใช้ AI เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการเลือกตั้งอาจส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในวิธีการเลือกตั้งในอนาคต ในปัจจุบันการเลือกตั้งยังขึ้นอยู่กับความเชื่อและความคิดเห็นของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยผู้สนับสนุนที่มีผลกระทบมากที่สุดบางครั้งอาจเป็นผู้ที่สื่อสารและประชาสัมพันธ์ในสื่อสังคมออนไลน์ได้ดี ในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อ AI มีความสามารถในการสร้างสื่อปลอมและการเลียนเสียงของบุคคลสำคัญ อย่างได้กล่าวมาแล้ว สังคมอาจเผชิญกับความเสี่ยงในการสร้างข่าวปลอมและการแพร่กระจายข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง ซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสนในการรับรู้ข้อมูลว่าอันไหนเป็นความจริงและอันไหนเป็นปลอม

โดยสรุป เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้เราสามารถเพิ่มผลผลิตด้วยทรัพยากรที่น้อยลงได้ เราต้องการให้มนุษย์และเครื่องจักรทำงานร่วมกัน ในอดีตเราได้ทำงานร่วมกันตั้งแต่ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม เครื่องจักรกลทำหน้าที่ยกของให้เราได้ แต่ในยุคใหม่นี้มันคือการอัตโนมัติในชั้นของงานที่เรียกว่า white collar สิ่งที่เปลี่ยนแปลงในอนาคตคือมีการใช้ทรัพยากรทางด้านสมองมากขึ้น รวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น บล็อกเชน พิมพ์สามมิติ อินเทอร์เน็ตของสร้าง ปัญญาประดิษฐ์ เป็นการเปลี่ยนแปลงในอนาคตของงาน white collar ทั้งหมด

ในที่สุดเราไม่จำเป็นต้องมีทักษะทางเทคนิคมากแล้ว เพียงแค่ใช้เครื่องคิดเลขก็เพียงพอ ทุกคนจะต้องมีความสามารถเทคนิคที่เท่าเทียมกัน ต้องปรับเปลี่ยนทักษะการทำงาน บริษัทที่ไม่ใช้ AI ในที่สุดก็จะแพ้กับบริษัทที่ใช้ AI และ ที่สำคัญควรระมัดระวังด้านประเด็นที่ไม่ดีของ AI

#PMAT #HRTECH #HR #AIforBetterWorkBetterLife
#HumanResource #PEOPLEMANAGEMENT
#Digital Economy
_______________________
ติดตามข้อมูล ข่าวสารดีๆ ได้จาก PMAT ได้ที่
Facebook: pmatHRsociety
Line: @pmat
YouTube: https://www.youtube.com/@PMAT
Website: www.pmat.or.th
สมัครสมาชิก ติดต่อ: คุณดุจดาว 02 374 0855 ต่อ 21 มือถือ 061-783-4141
E-mail: member@pmat.or.th