https://www.facebook.com/pmatHRsociety https://twitter.com/pmathrsociety https://www.youtube.com/user/PMATVideos http://line.me/ti/p/@pmat
Managing the World of Polycrisis and Mindfulness Leadership
กลับš



สรุปปาฐกถา "Managing the World of Polycrisis and Mindfulness Leadership" โดย ดร. วิรไท สันติประภพ, ประธานกรรมการมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ, ที่ถูกนำเสนอในงาน Thailand HR Day 2023 ได้ดังนี้
 

โลกกำลังเผชิญ สภาวะ complex, paradoxes, polycrisis

เราต่างผ่านการเผชิญโลกของ VUCA ซึ่งมีความผันผวน ไม่แน่นอน ซับซ้อน คลุมเครือ และกำลังเข้าสู่โลกที่เรียกว่าเป็น สภาวะ VUCA plus หรือ BANI (Brittle, Anxious, Nonlinear, Incomprehensible) ซึ่งมีความน่ากังวลมากขึ้น ตัดสินใจยากขึ้น คาดเดาได้ยากขึ้น ยากที่จะเข้าใจ เพราะมีข้อมูลหลากหลายย้อนแย้ง นำมาซึ่งความสับสน เรากำลังเผชิญกับ POLYCRISIS

POLYCRISIS เป็นคำใหม่ เพิ่งได้ยินมากขึ้นในช่วงหลัง เมื่อเราพิจารณาบริบทรอบตัว เราจะเห็นความขัดแย้งใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในโลก ซึ่งสร้างความสับสน กลายเป็นปัญหาที่นำไปสู่วิกฤติใหญ่ๆ อย่างไรก็ตามแม้โลกเกิดความซับซ้อนและย้อนแย้ง ไม่ว่าโลกในอนาคตจะวุ่นวายสับสนเพียงใด การบริหารคนไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ภายใต้วิธีการที่ซับซ้อนหลากหลาย ต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้นไม่ให้การบริหารคนไปกระทบกับความเปราะบางของความไม่แน่นอน






POLYCRISIS หรือสถานการณ์ความเปราะบาง มีความเปลี่ยนแปลงหรือความท้าทายใหญ่ๆ ที่เราต้องเผชิญ แบ่งเป็น 6C


1. Climate Catastrophe การเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ ช่วง 5 ปีที่แล้ว พูดกันมากเรื่อง climate crisis วิกฤติสภาวะภูมิอากาศ วันนี้ใช้คำว่า climate catastrophe ความหายนะทางภูมิอากาศ ก่อนหน้านี้เราใช้คำว่าโลกร้อน global warming ปี 2023 เลขาฯ UN ใช้คำว่า โลกเดือด global boiling สะท้อนให้เห็นความรุนแรงของสภาวะอากาศที่รุนแรงมากขึ้น กระทบวิถีชีวิตและการดำเนินธุรกิจ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ไม่มีทางที่ภูมิอากาศจะกลับไปเหมือนเดิม ภัยแล้งจะเกิดบ่อยขึ้น ถี่ขึ้น แรงขึ้น จะเกิดภัยใหม่ๆ ที่ไม่เคยสำคัญในอดีต เช่น ไฟป่า ที่เกิดขึ้นทุกปี โรคติดต่อ องค์กรต้องปรับตัวรับมือกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงและรู้เท่าทัน

แต่เมืองไทยพูดถึงแผน adaptation น้อยมาก ไม่มีการพูดถึงการปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ทุกวันนี้หลายองค์กรยังไม่ตระหนักถึงการดำเนินธุรกิจเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

2. Conflicts พร้อมแตกหักยกระดับเป็นสงคราม ทั้งระดับโลก tech war ระดับภูมิภาค สงครามยูเครนก็ไม่สงบง่ายๆ ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ก็มีแนวโน้มขยายความรุนแรงเป็นระดับโลกได้ เป็นวิกฤติที่ห่างไกลกับประเทศไทย แต่สร้างผลกระทบได้ ทั้งในแง่ของราคาพลังงาน อาหาร ระดับประเทศ ก็มีความแตกต่างหลากหลายกับคนต่างขั้ว เช่น นโยบายนักการเมืองที่เน้นให้เกิดความขัดแย้งกับกลุ่มคนต่างๆ ความขัดแย้งมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ด้วยทรัพยากรในโลกที่มีจำกัด คนต้องแข่งขันกันมากขึ้น แก่งแย่งกันมากขึ้น เขตแนวทะเล ที่ดิน และน้ำสะอาด เป็นโจทย์ที่ใหญ่มาก ปัญหาความเหลื่อมล้ำ นำไปสู่ความแตกแยกทางความคิด แง่องค์กรความขัดแย้งถือเป็นความเสี่ยงละเลยไม่ได้

3. Changing Demographics การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร สิ้นทศวรรษ 20 ประชากรโลกจะเพิ่มเป็น 8,500 ล้านคน จาก 8,000 ล้านคน ปัญหาการแก่งแย่งทรัพยากรจำกัดจะรุนแรงมากขึ้น ประชากรที่เพิ่มขึ้นจะท้าทายประเด็นความยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรจะเห็นเด่นชัดในสังคมผู้สูงอายุ

ในขณะที่ประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ เกิดผลกระทบตามมาหลายด้าน ปัญหางบประมาณ การขาดแคลนแรงงาน ทำให้บริษัทหาคนมาทำงานยากขึ้น และคนรุ่นใหม่ต้องทำงานเก่งขึ้นมากในสังคมผู้สูงอายุ ต้องมี productivity มากกว่าเดิม อีกปัญหาคือความเห็นต่างระหว่างรุ่น

4. Cyber Technology พัฒนาการก้าวกระโดดช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต นำไปสู่ความท้าทาย 3 ด้าน
• Data โลกที่เต็มไปด้วยข้อมูล มีทั้งข้อมูลเท็จและจริง การแยกแยะข้อมูลเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับโลกอนาคต พนักงานต้องรับมือกับข้อมูลท่วมท้นได้ ส่งผลให้เกิดความเครียดที่ต้องตื่นตัวกับข้อมูลใหม่ตลอดเวลา
• Cyber Attack ต้องรักษาสุขภาวะไซเบอร์ ทั้งระดับบุคคล ครอบครัว องค์กร และสังคม
• Digital Divine เส้นแบ่งของการเข้าถึงเทคโนโลยีที่กว้างมากขึ้น เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนที่เข้าถึงกับเข้าไม่ถึง เป็นข้อจำกัดระหว่างธุรกิจขนาดกลางขนาดเล็กกับขนาดใหญ่ ทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่มีอำนาจเหนือตลาด เพราะมีความสามารถเพิ่มมากขึ้น

5. corrupted value คุณค่าที่ถูกบิดเบือน คุณค่าและวัฒนธรรมองค์กร เป็นตัวกำหนดตัวตน แนวทางการดำเนินชีวิต การดำเนินธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงคุณค่ามาจากหลายปัจจัย กระแสโลกาภิวัตน์ กระแสบริโภคนิยม การย้ายคนเข้าสู่เมือง กลายเป็นวิถีเมืองที่ต่างคนต่างอยู่ และการติดอยู่ใน echo chamber คือคนที่คิดและเชื่อเหมือนกัน

หลายวงการคุณค่าเสื่อมถอยลงมาก เช่น บางธุรกิจยอมรับการคอรัปชั่น เป็นบรรทัดฐานในการทำงานบางเรื่องกับภาครัฐ หรือการยอมรับว่าการพูดไม่ครบเป็นพฤติกรรมปกติ การเอาเปรียบเพื่อนร่วมงาน เอาเปรียบองค์กรในรูปแบบต่างๆ ความเกรงกลัว ความรู้สึกผิด ค่อยๆ หายไปจากสังคม คุณค่าองค์กรถูกพูดถึงน้อยมากทั้งๆ ที่เป็นเรื่องสำคัญในยุคที่เราให้ความสำคัญกับความยั่งยืน

6. collapse of the center การลดบทบาทศูนย์กลาง ที่เป็นแกนกลางตัดสินใจ เมื่อพลังเทคโนโลยีเข้ามาอย่างก้าวกระโดด คนมีความเป็นปัจจัย เริ่มแคลงใจในสถาบันหลักๆ ทำให้บทบาทของศูนย์กลางลดลงเรื่อยๆ

ตัวอย่าง www เป็นการทำงานโดยไม่ต้องมี server กลาง ประโยชน์ของเทคโนโลยีคือคนไม่ต้องทำงานเป็นขั้นเป็นตอน สามารถทำงานพร้อมกันได้ คนกระจายทำงานไปตามที่ต่างๆ ทั่วโลก 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องเห็นหน้ากัน เดี๋ยวนี้ไม่มีใครรับข่าวสารจากสำนักข่าวไทยเป็นหลัก แต่รับข่าวจากนักข่าวพลเมือง จาก social media

โลกข้างหน้าเคลื่อนจากมีศูนย์กลางไปหา platform based มากขึ้น เป็นโลกที่ทำงานแบบมีเครือข่าย คนจะมีอิสระในการทำงาน ในการใช้ชีวิต ไม่ต้องอิงกับสถาบันหลัก หรือศูนย์กลางหลักแบบเดิม

เมือ่คนใช้ชีวิตแบบ platform เส้นแบ่งจะมีความสำคัญน้อยลง ไม่ว่าพรมแดนประเทศ เส้นแบ่งอำนาจ มองไปข้างหน้าเราต้องเผชิญกับแรงปะทะกับโลกใหม่ที่กระจายอำนาจมากขึ้น ไม่อิงกฎเกณฑ์กติกา กับกรอบกติกาในระบบศูนย์กลางที่ยังมีอยู่ จนกว่าจะเจอดุลยภาพใหม่

ทั้ง 6 ปัจจัยมีปฏิสัมพันธ์กันตลอดเวลา และสร้างสภาวะที่ไม่มีเสถียรภาพ ถ้าบริหารจัดการไม่ดีจะนำไปสู่ polycrisis จะบริหารความท้าทาย ความซับซ้อน ความย้อนแย้ง ที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นได้อย่างไร

ชีวิตคนเรามี 3 ฐาน คือ ฐานคิด ฐานการกระทำ และฐานใจ สำหรับผู้บริหารแล้ว ฐานใจเป็นเรื่องสำคัญเหมือน operating system ที่กำหนดวิธีคิด ทัศนคติ พฤติกรรม แต่ความเป็นจริง เราให้ความสำคัญกับเรื่องใจ ค่อนข้างน้อยในองค์กร ทั้งการดูแลใจตัวเอง ดูแลใจพนักงาน การเห็นอกเห็นใจ สำคัญสุดคือการสร้างความไว้วางใจ ยิ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงก็ต้องบริหารใจตัวเองไปพร้อมกับใจทีมงาน

ท่ามกลางโลกที่ซับซ้อนผันผวน องค์กรใดไม่มีความรื่นรมย์ จะยากทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ยากที่จะทำให้องค์กรปรับตัว เป็นองค์กรที่ไม่สามารถสร้างนวัตกรรม สร้างความเข้าใจร่วมกันได้




การรับมือกับความท้าทาย 6 ประการ ต้องกลับมาดูคุณลักษณะของฐานใจ 6 ด้าน
1. concentration มีสมาธิ ใจจดจ่อกับเรื่องที่กำลังทำ รักษาสมาธิได้อย่างต่อเนื่อง multitasking เป็นสัญญาณของคนขาดสติ ขาดสมาธิ ไม่ได้เป็นสัญญาณของคนเก่งแต่อย่างใด
2. clarity เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างที่เป็น เห็นตามเป็นจริง ไม่ใช่เห็นแบบที่ตัวเองเชื่อว่าเป็น หรืออยากให้เป็น ต้องรักษาใจให้เป็นกลางเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้เห็นสิ่งต่างๆ รอบด้าน
3. contentment สามารถสร้างความสุขให้เกิดขึ้นในใจ ไม่ว่าเจอแรงกดดันแบบใด ความพึงพอใจทำให้เรารู้จักพอประมาณ สามารถตั้งคำถามกับตัวเองได้ว่า สิ่งที่กำลังทำเป็นความจำเป็นหรือความโลภ
4. compassion ผู้บริหารต้องสามารถเข้าใจคนอื่น ด้วยความรู้สึกที่เป็นมิตร ด้วยความคิดอยากช่วยเหลือให้ผู้อื่นดีขึ้น เคารพทัศนคติ ความเห็น และข้อจำกัดของคนอื่น สามารถมองบทบาทของตนกว้างมากกว่าผลประโยชน์ของตัวเอง มองโลกและมองทีมงานที่เชื่อมโยงกัน เป็นภูมิคุ้มกันลดความขัดแย้งในองค์กร
5. creativity ความคิดสร้างสรรค์ เราอยู่บริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ความคิดใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นต้องเป็นการหาทางออกที่ทำได้จริง ความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นไม่ได้ถ้าเราไม่มี peace of mind
6. cushioned mind ใจที่มีกันชน รับแรงปะทะได้กับเรื่องกวนใจ

คุณลักษณะทางใจ 6 ประการ ทำให้ผู้บริหารทำหน้าที่ได้ท่ามกลางความท้าทาย เรียกว่าเป็น competency ทางใจ ให้ผู้บริหารแต่ละคนโดดเด่น มีพลัง มีความอดทนที่จะสร้าง impact ได้

ในทางตรงกันข้ามถ้าผู้บริหารขาดคุณลักษณะเหล่านี้ จะส่งผลให้พนักงานทำงานด้วยความเป็นทุกข์ องค์กรก็จะเปราะบาง พนักงานมุ่งหาพื้นที่ปลอดภัย วิ่งไปหาไซโลของตัวเอง ขาดพลังบวก ยากที่จะปรับตัวให้เข้ากับความท้าทาย

ผู้บริหารต้องฝึกใจให้ดูแลใจของตัวเอง ให้ความสำคัญกับสติ ให้เท่าทันกับการทำงานของใจ ฝึกสติให้ตั้งมั่นกับสภาวะปัจจุบัน ณ เสี้ยววินาที
สิ่งที่พึงตระหนัก คือ ชีวิตคนเราประกอบด้วย 2 สิ่งเท่านั้นคือ กายและใจ หาหหลงลืมให้ความสำคัญของการดูแลรักษาใจ ฝึกใจ โดยเฉพาะองค์กรใหญ่ที่เน้นประสิทธิภาพประสิทธิผล คนจะมีความเปราะบางทางใจ เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะฝึกใจให้ดูแลใจตัวเอง ซึ่งต้องเริ่มจากการดูสติให้ใจเท่าทันใจ ไปพร้อมกับรู้วิธีออกกำลังใจเหมือนที่เราออกกำลังกาย